หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 073
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 073
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทั้งลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ทำใจของเราให้สงบทำกายของเราให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็เจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความคิดต่างๆ ก็จะหยุดไป กายของเราก็สงบระงับตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจก็จะชัดเจน พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ความรู้สึกพลังเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่
ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ มีการแสวงหาการดำเนิน ทุกคนแสวงหาธรรมมาหลายภพหลายชาติแล้วตั้งแต่เกิด จะเป็นการแสวงหาด้วยตัวจิตด้วยตัววิญญาณที่เขาเกิดก็เลยกลายเป็นความหลงไปเสีย เพราะว่าการเกิดนั้นก็หลงหลงเกิด เกิดในภพน้อยเกิดในภพใหญ่ เกิดๆ ดับๆ เพียงแค่ตัววิญญาณเกิดยังไม่พอ ก็มีอาการของวิญญาณซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้ามาเป็นตัวปิดกั้นเอาไว้อีก ตัววิญญาณนั้นก็เกิด ความทะเยอทะยานเกิดกิเลสเข้าไปปิดกั้นตัวของเขาอีก การปรุงแต่งก็ปิดกั้นตัวของเขาอีก
ทีนี้เราได้เกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ กายเนื้อก็มาปิดกั้นเอาไว้ แต่เป็นบุคคลที่โชคดีเป็นบุคคลที่มีบุญถึงได้เกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ พระพุทธองค์ถึงได้บังเกิดมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์แล้วก็มาสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอยู่ในอัตภาพร่างกายของมนุษย์ สัตว์อื่นยากที่จะตรัสรู้ได้ ท่านถึงได้อุบัติได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็มาค้นพบอยู่ในอัตภาพร่างกายของมนุษย์เรา เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม พวกเราก็พยายามประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของท่านให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา
การเจริญสติ ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน การดับกิเลสการละกิเลส การคลายกิเลสการแยกรูปแยกนาม ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราต้องสร้างขึ้นมาแล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้เอาไปวิเคราะห์ใจของเรา ทุกคนก็มีศรัทธาถึงได้น้อมกายของตัวเราเข้ามาเข้ามาในการแสวงหาบุญแสวงหาธรรม ธรรมก็อยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหละไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก แต่เราไปหานอกกายว่าจะอยู่ที่โน่นอยู่ที่นี่
เราพยายามเจริญสติเข้าไปหยุดระงับยับยั้งใจของเรา แล้วก็ให้สังเกตจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์นี่เขาเรียกว่าการกระทำการแสวงหา ไม่ใช่ว่านึกเอาว่าไม่ใช่ว่านึกเอาคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไปนึกไปคิดไปอ่าน อันนั้นเป็นแค่เพียงการดำเนินเดินตามแผนที่เท่านั้นเอง ตัวจิตลักษณะจิตกับสตินี่ต้องชัดเจน
ตัวจิตหรือว่าตัววิญญาณ ตัวจิตตัววิญญาณนั้นเขามีอยู่เดิม เขามีอยู่เดิมก็มีอยู่ก่อนมาตั้งนาน เขาหลงเขาถึงได้วนเวียนว่ายตายเกิด เราถึงได้มาสร้างความรู้ตัวมาเจริญสติ เพื่อที่จะเอาเข้าไปพร่ำสอนใจของเรา แล้วก็หาเหตุหาผลจนกว่าใจของเราคลายออกจากความคิด ตามดูรู้เห็นหลักความเป็นจริงในชีวิตของตัวเรา คือรู้ขันธ์ห้าของเรานี่แหละในกายของเรานี้แหละ รู้ว่าความคิดซึ่งเป็นนามธรรมเขาเกิดยังไงเขาไปยังไง ทำไมตัววิญญาณถึงของเราถึงหลงเข้าไปร่วมเข้าไปรวมเข้าไปเสวย กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกตาเขาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟังซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง
ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องวิเคราะห์ให้หมดแล้วก็รู้ทำความเข้าใจให้หมด ถ้าบุคคลมีความเพียร มีความขยันที่ถูกต้อง มีศรัทธาแล้วก็ประกอบด้วยการเจริญสติให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย ศรัทธาต้องเจริญสติเข้าไปรู้ด้วยเห็นด้วยตามดูได้ด้วยจนถูกกว่าใจของเราจะยอมรับความเป็นจริงได้ด้วยเราพอละกิเลสได้ด้วย แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกใจของเราปรุงแต่ง ส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เหตุจากภายนอกมาทำให้ใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้งเป็นเรื่องอะไร
เราต้องหัดวิเคราะห์หัดสังเกต รู้ไม่เท่าทันต้นเหตุเราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปส่งเสริมไปแสวงหาค้นคว้าด้วยปัญญาของโลกียะ ปัญญาของโลกนั้นยิ่งค้นหายิ่งเดินเท่าไรก็ยิ่งห่างไกลตัวใจ ถ้าปัญญาในหลักธรรมท่านให้เจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล เราเข้าดำเนินไม่เข้าถึงจุดนี้ก็เพราะว่าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง มีแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา
สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันต่อเนื่องกันครั้งหนึ่งสองครั้งสามครั้งจนกว่าจนเป็นลูกโซ่ จนกว่าจะสังเกตได้แยกรูปแยกนามได้ตามดูได้ทุกเรื่อง ความรู้ตัวของเราถึงจะเป็นมหาสติมหาปัญญา ไม่ใช่ว่าไปทิ้งๆ ขว้างๆ ทำบ้างไม่ทำบ้าง ทำบ้างไม่ทำบ้าง รู้บ้างไม่รู้บ้าง มันก็กระท่อนกระแท่น ก็เลยไม่รู้ความเป็นจริง เราต้องให้รู้ทุกขณะทุกเวลาจนเป็นอัตโนมัติ ตามดูตามรู้ตามทำความเข้าใจแล้วก็ละกิเลส หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ไม่ให้คลาดสายตาของสติปัญญาของเราได้เลย
ลักษณะของความเกียจคร้าน เราก็พยายามกําจัดความเกียจคร้าน นิวรณ์ธรรมต่างๆ เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราไม่ได้รับความสงบ เราก็รู้จักทำความเข้าใจรู้จักละไม่ใช่ปล่อยปละละเลย แต่ละวันตื่นขึ้นมาเพียงแค่ระดับของสมมติเรามีความรับผิดชอบหรือเปล่า เรามีความเสียสละหรือไม่ เรามีพรหมวิหารมีความเมตตา เรามีความจริงใจต่อตัวเราหรือไม่ ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มองหาความเป็นจริง เขามีอยู่นั่นแหละเขาเกิดอยู่ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ จิตวิญญาณเขาก็ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการทวนเป็นการทวนกระแสธรรมเพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ กําลังสติของเราไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ไม่ได้หาเหตุหาผล จะไปเอาเหตุเอาผลเฉพาะปัญญาของกิเลสมาปิดกั้นตัวของเราเอง มันก็ไม่รู้ความเป็นจริง เราก็ต้องพยายาม เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ จนรู้เห็นตามความเป็นจริงหมดความสงสัย มีแต่จะเร่งทำความเพียรละกิเลสออกให้มันหมดจดจากใจของเรา
ในความหมายของหลวงพ่อ แม้แต่การเกิดของตัวจิตก็ยังไม่ให้เกิดเลย ความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ถ้าเราละความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ แล้วตัวใหญ่มันจะเกิดได้ยังไง ถ้าเราคลายความหลงตามดูตามรู้ตามเห็นทุกเรื่อง ใจของเราถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การหลงเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา อันนี้แม้แต่กําลังสติก็สร้างบ้างไม่สร้างบ้างไม่สนใจกันเลย สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไรก็ยังไม่ทำความเข้าใจ ทั้งที่ปรารถนาอยากจะรู้ธรรม อยากจะเห็นธรรม การดับการละ ใจของเราปกติใจของเราสงบอันนี้ก็เปรียบเสมือนกับขันที่ยังคว่ำอยู่ เขายังไม่ได้หงายเขายังไม่ได้พลิก
ถ้าเราสังเกตใจกับอาการของใจคลายออกจากกันได้เมื่อไหร่นั่นแหละ เหมือนกับหงายของที่คว่ำ เพียงแค่เริ่มต้นของตัวปัญญา เราตามดูตามรู้ตามเห็นเราก็จะเข้าใจในอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้าของเราที่ท่านเปรียบเสมือนกับพยัพแดดหรือเปรียบเสมือนกับเกลียวคลื่น ไม่มีตัวไม่มีตน แต่ตัวตนในทางสมมติคืออัตภาพกายก้อนนี้ยังมีอยู่ เราก็ต้องพยายามศึกษาให้ละเอียดเสียขณะที่เรายังมีกําลังอยู่ สร้างบุญสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม สิ่งพวกนี้เราจะไปบังคับกันไม่ได้เลยขึ้นอยู่กับแรงบุญแรงกรรมของแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียรที่ถูกที่ถูกทางของแต่ละบุคคล เราจะไปเร่งบังคับไม่ได้เด็ดขาด อานิสงส์ผลบุญทานผลบารมีของบุคคลใดที่สร้างสะสมมาก็สร้างสะสมมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามากบางท่านก็สร้างมาน้อย บางท่านก็บริบูรณ์ทั้งสมมติบริบูรณ์ทั้งวิมุตติ บางท่านก็ได้สมมติแต่ไม่เข้าใจในเรื่องวิมุตติ บางท่านก็ถ้าได้ทางด้านวิมุตติแต่ไม่เข้าใจสมมติก็ลําบาก
เราก็ต้องพยายามมาทำความเข้าใจ มาจัดสรรมาสร้างให้ได้บริบูรณ์ให้เสมอภาคกัน สติสมาธิปัญญาเป็นลักษณะอย่างไร ไม่ใช่ว่าไปนึกไปคิดไปอ่าน ไปแสวงหากับที่โน่นที่นี่ เราต้องแสวงหาแน่นลงอยู่ที่กายของเราอย่างเดียว กายของเรานี้ภายในลึกลงไปอีก ใจของเรา ฐานของใจอยู่ตรงไหน อาการของใจเกิดมาได้อย่างไร การดับการละมีอยู่หรือไม่ มีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละถ้าออกจากนอกจากเรื่องจุดนี้ไปแล้วก็มีแต่เรื่องของนอกกาย
อย่างเราก็ทำความเข้าใจกับสมมติเคารพสมมติ โลกธรรมเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น กายของเราก็ยังอิงอาศัยอยู่กับสมมติ กายของเรานี่แหละสมมติ วิญญาณก็มาสร้างกายขึ้นมาปิดกั้นตัวของเขาเอง ต้องหัดสังเกตวิเคราะห์จําแนกแจกละเอียดจน ละเอียดจนไม่เหลืออะไรจนไม่มีอะไร คือมันมีอยู่ในความไม่มีคือความว่างความบริสุทธิ์ ตัววิญญาณเขาก็หลงมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว เขาเขาเกิดๆ ตายๆ ตายๆ เกิดๆ ตายภพนี้ไปหาภพใหม่ สร้างอัตภาพนี้ไปสร้างอัตภาพใหม่ตามแรงเหวี่ยงของกรรม
เราต้องทำความเข้าใจกับกรรมมันเสีย เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดิน รู้จักสร้างบุญสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้นตลอดเวลา มีใจของเราทำใจของเราให้เป็นบุญ ทำกายของเราให้เป็นบุญ ทำวาจาของเราให้เป็นบุญ บุญระดับสมมุติเราก็ทำ ส่วนวันที่ 4 มิถุนายนก็ตรงกับวันวิสาขบูชา ก็ขอเชิญชวนพี่น้องของเราทุกคนมาร่วมกันมาร่วมกันสร้างบุญสร้างอานิสงส์ด้วยการสวดมนต์ไหว้พระ แล้วก็มาเวียนเทียนร่วมกันในวันวิสาขบูชา ระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธองค์ที่ได้เป็นบรมครูเป็นศาสดาเอกของโลก ได้ค้นพบสัจธรรมแล้วก็มาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตามก็พวกเรานี่แหละ เราจะเดินตามท่านหรือไม่ กิเลสก็อยู่ที่ของเรา กายเนื้อก็อยู่ของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนอยู่ที่ตัวเรา
คำสอนนั้นก็พระพุทธองค์ท่านก็ประกาศเอาไว้หมดแล้ว พวกเราจะดำเนินตามให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา หมดความสงสัยละกิเลสให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ไม่อยากทุกข์ก็ต้องไม่เกิด ถ้ายังเกิดอยู่ก็ต้องทุกข์ เกิดเท่าไหร่ก็ตายเท่านั้น เกิดเท่าไหร่ก็ทุกข์เท่านั้น เราก็พยายามละ เราเราดับความเกิดเสียขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ กายเนื้อก็เกิดมาแล้วทำความเข้าใจกับเขาเราก็รู้จักบริหาร
ส่วนทางด้านจิตใจก็คลายความหลงดับความเกิดให้หมดจด ถึงวาระเวลาหมดลมหายใจก็ให้คลาย ให้ตายตั้งแต่กายเนื้อส่วนจิตใจก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ เราพยายามเดิน เดินไม่ถึงวันนี้วันพรุ่งนี้ก็ต้องถึง แต่เวลานี้เพียงแค่การเจริญสติก็ยังพากันมีความเพียรที่ต่อเนื่อง 5 นาที 10 นาที ความรู้สึกตัวยังไม่ต่อเนื่องกันเลย จะไปเอาตั้งแต่ธรรมทั้งที่ใจเป็นธรรมแล้ว จะไปเข้าใจได้ยังไง ก็ต้องพยายามกันนะ
วันนี้เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกัน
ตั้งแต่ตื่นขึ้นตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ มีการแสวงหาการดำเนิน ทุกคนแสวงหาธรรมมาหลายภพหลายชาติแล้วตั้งแต่เกิด จะเป็นการแสวงหาด้วยตัวจิตด้วยตัววิญญาณที่เขาเกิดก็เลยกลายเป็นความหลงไปเสีย เพราะว่าการเกิดนั้นก็หลงหลงเกิด เกิดในภพน้อยเกิดในภพใหญ่ เกิดๆ ดับๆ เพียงแค่ตัววิญญาณเกิดยังไม่พอ ก็มีอาการของวิญญาณซึ่งเรียกว่าอาการของขันธ์ห้ามาเป็นตัวปิดกั้นเอาไว้อีก ตัววิญญาณนั้นก็เกิด ความทะเยอทะยานเกิดกิเลสเข้าไปปิดกั้นตัวของเขาอีก การปรุงแต่งก็ปิดกั้นตัวของเขาอีก
ทีนี้เราได้เกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ กายเนื้อก็มาปิดกั้นเอาไว้ แต่เป็นบุคคลที่โชคดีเป็นบุคคลที่มีบุญถึงได้เกิดมาอยู่ในภพของมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ พระพุทธองค์ถึงได้บังเกิดมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์แล้วก็มาสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอยู่ในอัตภาพร่างกายของมนุษย์ สัตว์อื่นยากที่จะตรัสรู้ได้ ท่านถึงได้อุบัติได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็มาค้นพบอยู่ในอัตภาพร่างกายของมนุษย์เรา เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตาม พวกเราก็พยายามประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของท่านให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา
การเจริญสติ ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน การดับกิเลสการละกิเลส การคลายกิเลสการแยกรูปแยกนาม ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราต้องสร้างขึ้นมาแล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้เอาไปวิเคราะห์ใจของเรา ทุกคนก็มีศรัทธาถึงได้น้อมกายของตัวเราเข้ามาเข้ามาในการแสวงหาบุญแสวงหาธรรม ธรรมก็อยู่ที่กายที่ใจของเรานี่แหละไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก แต่เราไปหานอกกายว่าจะอยู่ที่โน่นอยู่ที่นี่
เราพยายามเจริญสติเข้าไปหยุดระงับยับยั้งใจของเรา แล้วก็ให้สังเกตจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์นี่เขาเรียกว่าการกระทำการแสวงหา ไม่ใช่ว่านึกเอาว่าไม่ใช่ว่านึกเอาคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไปนึกไปคิดไปอ่าน อันนั้นเป็นแค่เพียงการดำเนินเดินตามแผนที่เท่านั้นเอง ตัวจิตลักษณะจิตกับสตินี่ต้องชัดเจน
ตัวจิตหรือว่าตัววิญญาณ ตัวจิตตัววิญญาณนั้นเขามีอยู่เดิม เขามีอยู่เดิมก็มีอยู่ก่อนมาตั้งนาน เขาหลงเขาถึงได้วนเวียนว่ายตายเกิด เราถึงได้มาสร้างความรู้ตัวมาเจริญสติ เพื่อที่จะเอาเข้าไปพร่ำสอนใจของเรา แล้วก็หาเหตุหาผลจนกว่าใจของเราคลายออกจากความคิด ตามดูรู้เห็นหลักความเป็นจริงในชีวิตของตัวเรา คือรู้ขันธ์ห้าของเรานี่แหละในกายของเรานี้แหละ รู้ว่าความคิดซึ่งเป็นนามธรรมเขาเกิดยังไงเขาไปยังไง ทำไมตัววิญญาณถึงของเราถึงหลงเข้าไปร่วมเข้าไปรวมเข้าไปเสวย กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกตาเขาทำหน้าที่ดู หูทำหน้าที่ฟังซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง
ทุกเรื่องในชีวิตของเรา เราต้องวิเคราะห์ให้หมดแล้วก็รู้ทำความเข้าใจให้หมด ถ้าบุคคลมีความเพียร มีความขยันที่ถูกต้อง มีศรัทธาแล้วก็ประกอบด้วยการเจริญสติให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าศรัทธาแบบหลงงมงาย ศรัทธาต้องเจริญสติเข้าไปรู้ด้วยเห็นด้วยตามดูได้ด้วยจนถูกกว่าใจของเราจะยอมรับความเป็นจริงได้ด้วยเราพอละกิเลสได้ด้วย แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเราส่งออกไปภายนอกใจของเราปรุงแต่ง ส่งออกไปข้างนอกสักกี่เรื่อง เหตุจากภายนอกมาทำให้ใจของเราเกิดสักกี่ครั้ง ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจของเราสักกี่ครั้งเป็นเรื่องอะไร
เราต้องหัดวิเคราะห์หัดสังเกต รู้ไม่เท่าทันต้นเหตุเราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปส่งเสริมไปแสวงหาค้นคว้าด้วยปัญญาของโลกียะ ปัญญาของโลกนั้นยิ่งค้นหายิ่งเดินเท่าไรก็ยิ่งห่างไกลตัวใจ ถ้าปัญญาในหลักธรรมท่านให้เจริญสติเข้าไปหาเหตุหาผล เราเข้าดำเนินไม่เข้าถึงจุดนี้ก็เพราะว่าเราไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง มีแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา
สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันต่อเนื่องกันครั้งหนึ่งสองครั้งสามครั้งจนกว่าจนเป็นลูกโซ่ จนกว่าจะสังเกตได้แยกรูปแยกนามได้ตามดูได้ทุกเรื่อง ความรู้ตัวของเราถึงจะเป็นมหาสติมหาปัญญา ไม่ใช่ว่าไปทิ้งๆ ขว้างๆ ทำบ้างไม่ทำบ้าง ทำบ้างไม่ทำบ้าง รู้บ้างไม่รู้บ้าง มันก็กระท่อนกระแท่น ก็เลยไม่รู้ความเป็นจริง เราต้องให้รู้ทุกขณะทุกเวลาจนเป็นอัตโนมัติ ตามดูตามรู้ตามทำความเข้าใจแล้วก็ละกิเลส หมั่นพร่ำสอนใจของเรา ไม่ให้คลาดสายตาของสติปัญญาของเราได้เลย
ลักษณะของความเกียจคร้าน เราก็พยายามกําจัดความเกียจคร้าน นิวรณ์ธรรมต่างๆ เป็นเครื่องกางกั้นจิตของเราไม่ได้รับความสงบ เราก็รู้จักทำความเข้าใจรู้จักละไม่ใช่ปล่อยปละละเลย แต่ละวันตื่นขึ้นมาเพียงแค่ระดับของสมมติเรามีความรับผิดชอบหรือเปล่า เรามีความเสียสละหรือไม่ เรามีพรหมวิหารมีความเมตตา เรามีความจริงใจต่อตัวเราหรือไม่ ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มองหาความเป็นจริง เขามีอยู่นั่นแหละเขาเกิดอยู่ตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ จิตวิญญาณเขาก็ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นการทวนเป็นการทวนกระแสธรรมเพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ปัญญาเก่าๆ กําลังสติของเราไม่ได้สร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง ไม่ได้หาเหตุหาผล จะไปเอาเหตุเอาผลเฉพาะปัญญาของกิเลสมาปิดกั้นตัวของเราเอง มันก็ไม่รู้ความเป็นจริง เราก็ต้องพยายาม เดินตามคำสอนของพระพุทธองค์ จนรู้เห็นตามความเป็นจริงหมดความสงสัย มีแต่จะเร่งทำความเพียรละกิเลสออกให้มันหมดจดจากใจของเรา
ในความหมายของหลวงพ่อ แม้แต่การเกิดของตัวจิตก็ยังไม่ให้เกิดเลย ความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ถ้าเราละความอยากแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ แล้วตัวใหญ่มันจะเกิดได้ยังไง ถ้าเราคลายความหลงตามดูตามรู้ตามเห็นทุกเรื่อง ใจของเราถึงจะยอมรับความเป็นจริงได้ การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เกิด การหลงเป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา อันนี้แม้แต่กําลังสติก็สร้างบ้างไม่สร้างบ้างไม่สนใจกันเลย สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างไรก็ยังไม่ทำความเข้าใจ ทั้งที่ปรารถนาอยากจะรู้ธรรม อยากจะเห็นธรรม การดับการละ ใจของเราปกติใจของเราสงบอันนี้ก็เปรียบเสมือนกับขันที่ยังคว่ำอยู่ เขายังไม่ได้หงายเขายังไม่ได้พลิก
ถ้าเราสังเกตใจกับอาการของใจคลายออกจากกันได้เมื่อไหร่นั่นแหละ เหมือนกับหงายของที่คว่ำ เพียงแค่เริ่มต้นของตัวปัญญา เราตามดูตามรู้ตามเห็นเราก็จะเข้าใจในอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้าของเราที่ท่านเปรียบเสมือนกับพยัพแดดหรือเปรียบเสมือนกับเกลียวคลื่น ไม่มีตัวไม่มีตน แต่ตัวตนในทางสมมติคืออัตภาพกายก้อนนี้ยังมีอยู่ เราก็ต้องพยายามศึกษาให้ละเอียดเสียขณะที่เรายังมีกําลังอยู่ สร้างบุญสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยม สิ่งพวกนี้เราจะไปบังคับกันไม่ได้เลยขึ้นอยู่กับแรงบุญแรงกรรมของแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียรที่ถูกที่ถูกทางของแต่ละบุคคล เราจะไปเร่งบังคับไม่ได้เด็ดขาด อานิสงส์ผลบุญทานผลบารมีของบุคคลใดที่สร้างสะสมมาก็สร้างสะสมมาไม่เหมือนกัน บางคนก็สร้างมามากบางท่านก็สร้างมาน้อย บางท่านก็บริบูรณ์ทั้งสมมติบริบูรณ์ทั้งวิมุตติ บางท่านก็ได้สมมติแต่ไม่เข้าใจในเรื่องวิมุตติ บางท่านก็ถ้าได้ทางด้านวิมุตติแต่ไม่เข้าใจสมมติก็ลําบาก
เราก็ต้องพยายามมาทำความเข้าใจ มาจัดสรรมาสร้างให้ได้บริบูรณ์ให้เสมอภาคกัน สติสมาธิปัญญาเป็นลักษณะอย่างไร ไม่ใช่ว่าไปนึกไปคิดไปอ่าน ไปแสวงหากับที่โน่นที่นี่ เราต้องแสวงหาแน่นลงอยู่ที่กายของเราอย่างเดียว กายของเรานี้ภายในลึกลงไปอีก ใจของเรา ฐานของใจอยู่ตรงไหน อาการของใจเกิดมาได้อย่างไร การดับการละมีอยู่หรือไม่ มีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละถ้าออกจากนอกจากเรื่องจุดนี้ไปแล้วก็มีแต่เรื่องของนอกกาย
อย่างเราก็ทำความเข้าใจกับสมมติเคารพสมมติ โลกธรรมเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น กายของเราก็ยังอิงอาศัยอยู่กับสมมติ กายของเรานี่แหละสมมติ วิญญาณก็มาสร้างกายขึ้นมาปิดกั้นตัวของเขาเอง ต้องหัดสังเกตวิเคราะห์จําแนกแจกละเอียดจน ละเอียดจนไม่เหลืออะไรจนไม่มีอะไร คือมันมีอยู่ในความไม่มีคือความว่างความบริสุทธิ์ ตัววิญญาณเขาก็หลงมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว เขาเขาเกิดๆ ตายๆ ตายๆ เกิดๆ ตายภพนี้ไปหาภพใหม่ สร้างอัตภาพนี้ไปสร้างอัตภาพใหม่ตามแรงเหวี่ยงของกรรม
เราต้องทำความเข้าใจกับกรรมมันเสีย เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดิน รู้จักสร้างบุญสร้างกุศลให้มีให้เกิดขึ้นตลอดเวลา มีใจของเราทำใจของเราให้เป็นบุญ ทำกายของเราให้เป็นบุญ ทำวาจาของเราให้เป็นบุญ บุญระดับสมมุติเราก็ทำ ส่วนวันที่ 4 มิถุนายนก็ตรงกับวันวิสาขบูชา ก็ขอเชิญชวนพี่น้องของเราทุกคนมาร่วมกันมาร่วมกันสร้างบุญสร้างอานิสงส์ด้วยการสวดมนต์ไหว้พระ แล้วก็มาเวียนเทียนร่วมกันในวันวิสาขบูชา ระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธองค์ที่ได้เป็นบรมครูเป็นศาสดาเอกของโลก ได้ค้นพบสัจธรรมแล้วก็มาเปิดเผยให้สัตว์โลกได้เดินตามก็พวกเรานี่แหละ เราจะเดินตามท่านหรือไม่ กิเลสก็อยู่ที่ของเรา กายเนื้อก็อยู่ของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนอยู่ที่ตัวเรา
คำสอนนั้นก็พระพุทธองค์ท่านก็ประกาศเอาไว้หมดแล้ว พวกเราจะดำเนินตามให้มีให้เกิดขึ้นในใจของเรา หมดความสงสัยละกิเลสให้ถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ไม่อยากทุกข์ก็ต้องไม่เกิด ถ้ายังเกิดอยู่ก็ต้องทุกข์ เกิดเท่าไหร่ก็ตายเท่านั้น เกิดเท่าไหร่ก็ทุกข์เท่านั้น เราก็พยายามละ เราเราดับความเกิดเสียขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ กายเนื้อก็เกิดมาแล้วทำความเข้าใจกับเขาเราก็รู้จักบริหาร
ส่วนทางด้านจิตใจก็คลายความหลงดับความเกิดให้หมดจด ถึงวาระเวลาหมดลมหายใจก็ให้คลาย ให้ตายตั้งแต่กายเนื้อส่วนจิตใจก็เข้าสู่ความบริสุทธิ์ เราพยายามเดิน เดินไม่ถึงวันนี้วันพรุ่งนี้ก็ต้องถึง แต่เวลานี้เพียงแค่การเจริญสติก็ยังพากันมีความเพียรที่ต่อเนื่อง 5 นาที 10 นาที ความรู้สึกตัวยังไม่ต่อเนื่องกันเลย จะไปเอาตั้งแต่ธรรมทั้งที่ใจเป็นธรรมแล้ว จะไปเข้าใจได้ยังไง ก็ต้องพยายามกันนะ
วันนี้เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อม ๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกัน