หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 125

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 125
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 125
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
มีความสุขกันทุกคน พระเราชีเรา ดูดีๆนะ พิจารณาปฏิสังขาโย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้งเสียดายเวลา โยมพากันมาจากกรุงเทพฯ มาตั้งไกลนะ บุญหลอกมา บุญหลอกมาวัด หลอกมาทำบุญ นั่นแหละมาเอาบุญ ต่อไปข้างหน้าก็สร้างบุญเยอะๆ บุญเต็มแล้วก็อิ่ม ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข ตื่นขึ้นมาก็ดูใจของเรา ตัวใจคือตัวบุญ ใจมีความสุข ใจก็อยู่กับบุญ ทำสิ่งประโยชน์อะไรที่จะเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ใจอิ่มอยู่ตลอดเวลาให้ควรทำ

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน ที่ทำการทำงาน มีความอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับหมู่กับคณะ ไม่เอารัดเอาเปรียบเพื่อนฝูง ไม่เอารัดเอาเปรียบตัวเรา สนุกอยู่กับบุญ ทำบุญ รีบแก้ไขขณะเรายังมีกําลัง ยังมีลมหายใจ เพราะว่าคนเรา คนเราเกิดมาด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม เราต้องทำความเข้าใจกับกรรม กายของเรานี่แหละก้อนกรรม เราพยายามมาแสวงหาบุญในก้อนกรรมก้อนนี้ให้เจอ คือแสวงหาใจของเราให้เจอ สำรวจใจของเรา เพราะว่าพวกเราทุกๆ คนเกิดมา ความเกิดความตายมีมาตั้งแต่เกิด การเกิดการตายทางกายเนื้อเขาก็แตกดับ การเกิดการดับของทางด้านจิตวิญญาณ วิญญาณเกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา เราต้องศึกษาทำความเข้าใจ

วันนี้ก็วันที่ 2 ที่ 3 วันพรุ่งนี้ก็นิมนต์พระเราทุกรูป ชีเราทุกองค์ ไปร่วมฌาปนกิจศพของคุณตาคุณหมอสถาพรหรือว่าคุณโยมพ่อของคุณหมอดวงเดือน ซึ่งท่านก็ได้วายชนม์ไปตั้งแต่วันได้ 2 วันแล้วแหละ ตั้งแต่วันอะไร วันเสาร์เนาะ วันที่ 19 ได้สวดมาติกาบังสุกุลกัน ก็ได้วันสองวัน อีกวันนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายที่จะได้สวดมาติกาบังสุกุลกัน ประมาณสักหนึ่งทุ่มหรือสองทุ่มหลังจากทำวัตรเสร็จ ก็ขอเชิญพี่น้องเรา ได้ยินข่าวทราบข่าวก็มาร่วมส่งดวงวิญญาณ แต่ท่านก็สร้างบุญมาดีแล้วแหละ ไม่ได้ลําบาก ท่านสร้างบุญมาดี สมมติก็ไม่ได้ลําบาก ลูกหลานก็ไม่ได้ลําบากกัน ส่งเสียทำหน้าที่ได้ดีที่สุด ถึงอายุมากแล้วก็ได้มาอยู่กับลูกสาว บุตรเขยกับคุณหมอนี่แหละ ท่านก็อยู่เหนือเวทนาของกาย กายเจ็บปวดมาหลายวัน ได้บอกท่านครั้งหนึ่ง ว่าให้วิธีการอยู่เหนือเวทนาทำอย่างนี้ๆ ท่านก็เลยทำ ท่านเป็นมะเร็ง มีความเจ็บความปวด อดทนอดกลั้นอยู่วันสองวัน จนใจสงบ ไม่ได้ลําบากกับกาย อดทน ตบะ สร้างตบะที่ใจ จนความทุกข์ไม่เข้าถึงใจ ความทุกข์ความเจ็บปวดก็คลาย ก็คลายลงไปๆท่านรู้จักวิธีแนวทาง เพราะอานิสงส์ผลบุญ ผลทานของท่าน มีส่วนอื่นท่านสร้างมาดี ทีนี้การควบคุมจิตใจไม่ให้เป็นทุกข์กับร่างกาย ก็ใช้ตบะอย่างแรงกล้า จนสงบระงับลงไปได้ จนอยู่ ใจอยู่เหนือเวทนา ก็ท่านก็มีความสุข ไปก็มีความสุข อยู่ก็มีความสุข ไปก็เปรียบเสมือนกับถอดเสื้อผ้า

ร่างกายของคนเรานี่ก็ธรรมดาก็เป็นก้อนทุกข์ เราก็มาแก้ไขปรับปรุงดูแลจนกว่าเขาจะถึงเวลา เรามาแสวงสร้างบุญอยู่บน พากายก้อนนี้มาสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ แล้วก็แสวงหาตัวตนคือตัวใจของเราในกายของเรานี้ให้เจอ ทุกเรื่อง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร เราต้องพยายามศึกษาค้นคว้าขณะยังมีกําลังกายอยู่ ถ้าไม่ได้ถึงเวลาก็ไม่ได้ไป ถ้าถึงเวลาอะไรมาฉุดเอาไว้ก็ไม่อยู่ มีข้าวของเงินทองมากมายก็ฉุดรั้งเอาไว้ไม่อยู่ ไปด้วยแรงเหวี่ยงของกรรม ขณะที่ยังมีลมหายใจเราก็พยายามสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมีให้เต็มเปี่ยม จะไม่ได้เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็สูงขึ้นไป แล้วก็หมั่นสํารวจทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก จนกระทั่งถึงเวลานี้เดี๋ยวนี้

พระเราชีเราก็เหมือนกัน เรื่องการรับประทานข้าวปลาอาหาร เราก็รู้จักพิจารณากายของเราหิว หรือว่าใจของเราเกิดความอยาก ถ้าใจเกิดความอยากก็รู้จักดับ รู้จักอด รู้จักทน ทีนั้นทีนี้ก็จะนิ่งขึ้น จะเอาจะมีจะเป็น ก็รู้จักพิจารณากะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง ซึ่งท่านได้ว่าการปฏิสังขาโย การพิจารณา ตาเห็นอาหาร ใจมันจะเกิดความอยาก ยิ่งกายหิวๆ พระบวชใหม่ก็ยิ่งอดอาหารสักมื้อสองมื้อ ความอยากก็เห็นชัดเจน ความอยากนั่นแหละตัวใจมันเกิดความอยาก ความอยากเกิดตรงไหนการปรุงแต่งความคิดต่างๆ ก็เกิดขึ้นอยู่ตรงนั้นแหละ เขาเริ่มก่อตัว ขอให้เรารู้จักวิธีการเจริญสติให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยง ไม่ใช่ไปเหมารวมกัน มีโอกาสก็มาสร้างอานิสงส์กันให้เต็มเปี่ยม บุญสมมติเราก็ทำให้เต็มเปี่ยม ตั้งแต่ทาน พระพุทธองค์ท่านถึงวางทานเอาไว้เป็นพื้นฐาน ทานคือความเสียสละอันยิ่งใหญ่ ถ้าการให้การเอาออกไม่มีใจก็คลายได้ยาก

ทานแล้วก็ศีล ศีลกับความปกติ ปกติของกายของวาจาแล้วก็ปกติของใจ เราต้องทำความเข้าใจให้ทานให้ศีลอยู่ฝังรากลึกอยู่ในใจของเรา ใจของเราไม่มีความโลภ ความโกรธ ความอยาก ใจของเราไม่ปรุงไม่แต่ง ก็เป็นสมาธิคือความสงบ แต่เวลานี้ใจของเราทั้งเกิดทั้งอยากทั้งหลง ทั้งสารพัดอย่าง เราก็มาเจริญสติเข้าไปอบรมใจของเราให้ได้ทุกอิริยาบถ ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีใครจะทำให้ เราต้องทำเอา แนวทางคําสอนนั้นมีมานานตั้งแต่หลายร้อยหลายพันปี ที่พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การสร้างตบะบารมีเป็นอย่างนี้ เรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย เรามีความโกรธ เราก็พยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยอโหสิกรรม เป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง อะไรเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ เราหาแสวงหาสร้างบุญในกายก้อนนี้ของเราให้ถึงจุดหมายปลายทางกันทุกคน ไม่ถึงช้าก็ต้องถึงเร็ว ตราบใดที่เรายังแสวงหาอยู่

มีโอกาสก็ได้มาสร้างบุญร่วมกัน อยู่ใกล้อยู่ไกลคนละทิศละที่ละทาง ถึงเวลาก็ได้มารวมกัน เพราะว่าเคยทำบุญร่วมกันมา ทำบุญร่วมกันมาแล้วก็มาสร้างบุญฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ฝากเอาไว้ในสมมติ โอกาสเปิดกาลเวลาเปิด หลวงพ่อพาสร้างอานิสงส์ใหญ่มากทีเดียว ใหญ่มากในทางสมมติ มหาเจดีย์ใหญ่ มหาเจดีย์พุทธเมตตาหลวง ระลึกนึกถึงองค์พระพุทธเจ้าผู้ที่ค้นพบสัจธรรมความจริงของชีวิต พาช่วยกันวางรากฐานบุญเอาไว้ไม่เหลือวิสัย แต่ก็เทวดาไม่ให้ได้ลําบาก เทวดามาบอกช่วงไม่ถึงอาทิตย์ บอกว่าหลวงพ่อยังไม่ได้ไปให้อยู่ต่อ พอตื่นขึ้นมาร่างกายก็เริ่มกระปรี้กระเปร่าขึ้น ฟื้นตัวขึ้นมา ว่าให้สงสัยคงจะอยู่สร้างเจดีย์ให้เสร็จเสียก่อนถึงจะได้ไป อยากจะอยู่ก็ไม่ได้อยู่ถ้าถึงเวลาไป

อย่างพ่อตาของคุณหมอก็ไปก่อน เราก็ช่วยกันส่งฌาปนกิจศพเย็นนี้ก็ประมาณสักสองทุ่ม พากันพระเราชีเรา พรุ่งนี้ก็นิมนต์ทุกองค์ทุกรูปบ่ายโมงลงร่วมกันที่ศาลารวมญาติ ศาลาพักศพ ไปส่งสังขารคุณพ่อตาของคุณหมอสถาพร เราก็มีอานิสงส์ได้ทำบุญร่วมกันมา ก็ได้อาศัยอานิสงส์ผลบุญผลทานของคุณหมอนี่มากมาย ถ้าไม่มีคุณหมอไม่ได้ตั้งวัด ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าคุณหมอเป็นคนซื้อถวายที่ดินให้ได้สร้างวัดก็เลยได้สร้างวัด สร้างวัดยังไม่พอนะ ต่อไปข้างหน้าจะจับมาบวชเป็นเจ้าอาวาสวัดอยู่ ถ้าถึงเวลาฉลองเจดีย์ ท่านเป็นผู้สร้างผู้ตั้งต้องไปเจ้าอาวาสต่อถึงจะสมบูรณ์แบบ บวชก็บวชแล้ว แต่สมมติก็ยังเต็มร้อยทุกอย่าง กำลังกาย กําลังใจ กําลังทรัพย์ เป็นผู้อุปัฏฐากอุปถัมภ์วัด สร้างวัดอุปัฏฐากอุปถัมภ์วัด อยู่กรุงเทพไม่เอา ลําบาก กลับไปกรุงเทพไม่ถึงชั่วโมงต้องกลับมา เพราะว่าไม่น่าอยู่ อึดอัด มีแต่มลพิษว่างั้น ต้องได้มาอยู่ที่วัดนะ อยู่กับบุญ คนบุญก็อย่างนี้แหละไม่จบภายในภพนี้ก็ไปต่อออกข้างบน ต้องพยายามให้จบในภพนี้แล้วนะ

ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน เรื่องต่างๆ หยุดเอาไว้เสียก่อนความคิดนั่นแหละหยุดเอาไว้ ภาระหน้าที่ทางสมมติเราก็วางเอาไว้เราก็อย่าเอาเก็บมาใส่ใจของเรา ขณะนี้เวลานี้ เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว ความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ก็จะหยุดไปโดยปริยาย กายของเราก็จะสบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจก็ชัดเจน

เราพยายามทำความเข้าใจลักษณะของการเจริญสติ มีความรู้ตัวเป็นอย่างนี้ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ ความหมายของการเจริญสติ เพื่อที่จะเอาไปอบรมใจของเรา เอาไปวิเคราะห์การเกิดการดับ ทำไมใจถึงเกิด อาการของใจเป็นอย่างไร เวลาเขาปรุงแต่งเป็นอย่างไร เวลาความคิดผุดขึ้นมา ใจเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ถ้าเรารู้เท่ารู้ทัน ใจก็จะคลายออก ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาก็จะตามเห็นการเกิดการดับของความคิดเป็นเรื่องอะไรบ้าง เป็นกุศลหรือว่าอกุศล ทำไมใจถึงเข้าไปหลงเข้าไปรวม ตามดู รู้เหตุรู้ผล ชี้เหตุชี้ผล พิจารณาด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง

ใจเกิดเมื่อไร ก็รู้จักละ รู้จักดับ แก้ไขกิเลสเบา กิเลสหยาบ กิเลสละเอียด กิเลสเกิดขึ้นที่กายหรือเกิดขึ้นที่ใจ กายทำหน้าที่อย่างไร ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรารู้จักวิธีการแนวทาง มองเห็นความเป็นจริง ใจเขาไม่เอาหรอก การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เพียงแค่เกิดอยู่ในภพมนุษย์นี้ก็พอแล้ว เป็นทุกข์หนักพอแล้ว คําว่าภพเป็นอย่างไร คําว่าชาติเป็นอย่างไร มีภพมีชาติ มีความชราคร่ำคร่า มีการเกิด มีการแก่ มีการเจ็บแล้วก็มีการตายตามมา เราต้องเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มองด้วยปัญญา

เห็นการเกิดการดับของความคิด ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เห็นความไม่เที่ยง ปล่อยวางทางด้านจิตวิญญาณในกายเนื้อ สมมติเราก็มีอยู่ ถ้าไม่ถึงเวลาเขาก็ไม่แตกไม่ดับ ท่านถึงบอกว่าให้รอบรู้ในกองสังขารในขันธ์ห้า ให้รอบรู้ในโลกธรรม แล้วก็อยู่ด้วยพรหมวิหาร อยู่ด้วยความเมตตา อยู่ที่ไหนก็มีความสุข เพราะว่าดวงวิญญาณแต่ละดวงปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ปรารถนาที่จะเข้าถึงความหลุดพ้น บางทีก็อาจจะหลงไปบ้าง ก็แก้ไขใหม่ ปรับปรุงใหม่ น้อมใจของเราเข้ามาอยู่ในกองบุญกองกุศลเอาไว้

จะทำอะไรก็อย่าทำด้วยความอยากของกิเลส ให้รู้จักการเจริญสติ ให้รู้จักเอาสติปัญญาไปพิจารณาให้รู้จักว่าสติปัญญาไปใช้ มีสติ ไม่มีเราก็ต้องสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่อง จนกว่าจะรู้เท่าทันใจ อบรมใจคลายใจได้ สติก็จะกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติก็จะกลายเป็นมหาปัญญา รอบรู้ทุกอย่าง จากปัญญารอบรู้ในกายในใจของเรานี่แหละ จากมหาปัญญาก็จะกลายเป็นปัญญาปกติ แต่ใจคลายออกรับรู้อยู่ในกายของเรา การเกิดเป็นทุกข์ เขาก็ไม่เกิด

การพูดง่าย แต่การลงมือ การกระทำการ การวิเคราะห์ ทุกอิริยาบถ ต้องรู้แจ้งเห็นจริง หมดความสงสัย หมดความลังเล พระพุทธองค์ท่านถึงบอกให้เชื่อ เราก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็ต้องพยายาม อยู่ด้วยกันหลายคนหลายท่าน พยายามสมัครสมานสามัคคี มีความขยันหมั่นเพียร อะไรพอช่วยกันได้เราก็ช่วยกัน อีกสักหน่อยก็ได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ เราจะไปบังคับกันไม่ได้ ถ้าเราไม่บังคับตัวเราเอง แก้ไขตัวเราเอง ปรับปรุงตัวเราเอง หลวงพ่อก็เพียงแค่พูดแค่ชี้แนะวิธีอุบายแนวทาง เพียงแค่บอกแค่กล่าว ถ้าพวกท่านไม่ไปทำก็ พวกท่านก็จะไม่เข้าใจ ก็ต้องพยายามนะ

สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ

พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง