หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 085
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 085
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ เรารู้จักสร้างความรู้ตัว แล้วก็รู้จักพยายามสร้างให้ต่อเนื่องแล้วหรือยัง ส่วนใจของเรานั้นฝักใฝ่ในการทำบุญในการให้ทาน น้อมกายของเราเข้ามาอยากจะได้บุญ อันนั้นก็เป็นอานิสงส์บารมีอยู่ในระดับของโลกียะ ของสมมติ
แต่เราจะทำความเข้าใจเพื่อที่จะดับทุกข์ ละทุกข์ได้ เราต้องมาเจริญสติ หรือว่ามาสร้างความรู้สึกตัวเพิ่มขึ้นมาอีก แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปใช้ไปรู้เท่าทันการเกิดการดับของใจของเรา รู้ลักษณะของใจ ใจหรือว่าจิต หรือว่าวิญญาณ ว่าเขาปกติอย่างไร เขาสงบอย่างไร เวลาเขาก่อตัวอาการเกิดอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจได้อย่างไร ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม
เราต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมา หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกต หมั่นสำรวจตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราเองตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปให้คนอื่นเขาบังคับ แต่ละวัน ส่วนสติปัญญาของเราที่เราสร้างขึ้นมา อะไรเรายังติดขัดอยู่ ทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ สมมติภายนอก สิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่เป็นอย่างไรบ้าง เราก็ต้องพยายามเอา อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามกันนะ มันไม่มีอะไรมากหรอก ถ้าเรารู้จักสนใจในการทำความเข้าใจ อะไรผิดพลาดก็รีบแก้ไขเสีย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ในเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นอานิสงส์แห่งบุญที่ได้เกิดมา
แนวทางก็มีอยู่ ถ้าเราจะฝักใฝ่สนใจกันจริงๆ ตื่นเช้าขึ้นมาเราก็รีบดูกายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร ความคิดอารมณ์ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมเขาก่อตัวอย่างไร เกิดอย่างไร สมมติเราอะไรยังขาดตกบกพร่องอยู่ แล้วก็รีบแก้ไข รีบแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอน ก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาที่ไหนเลย ถ้าเรารู้จักแนวทาง
การสร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบัน คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เป็นลักษณะอย่างนี้นะ รู้ได้ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ไม่ว่าจะทำการทำงาน รู้กายรู้ใจแล้วก็รับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ทั้งสมมติ รับผิดชอบต่อส่วนรวม ต่อส่วนตัว มีความจริงใจ มีสัจจะกับตัวเราเอง รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักควบคุมเอาไว้ ดับเอาไว้ จนเราอยู่กับบุญนั่นแหละ กายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ ใจก็เป็นบุญ คิดก็ได้ไม่คิดก็ได้ คิดด้วยสติ ด้วยปัญญา แต่เวลานี้ความคิดที่เกิดกับวิญญาณและเกิดจากใจมันไปเร็วไว ความคิดที่เกิดจากอาการของใจ อาการของขันธ์ห้าก็ไปเร็วไว เกิดเร็วไว ใจกับอาการของใจเลยรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
เราก็เรียนรู้เมื่อเรารู้ว่าเราคิดเราทำ ตัวใจนั้นเป็นธาตุรู้ แต่การเกิดการหลงเขามีอยู่ เราไม่ได้มาสร้างความรู้ไปควบคุม หรือว่ามาเจริญสติไปหมั่นพร่ำสอนใจ หมั่นดับ หมั่นควบคุม หมั่นสังเกต จนกว่าใจของเราจะคลายออกนั่นแหละ เราถึงจะรู้ว่าเราใจของเราหลง ตราบใดที่ยังคลายไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ ทุกคนก็จะไม่ว่าตัวเองหลง
ตราบใดที่ยังสร้างความรู้สึกตัวไม่ต่อเนื่อง ทุกคนก็นึกว่าตัวเองมีสติมีปัญญาเต็มเปี่ยม แต่ก็เต็มเปี่ยม เป็นสติปัญญาของโลกียะเต็มเปี่ยม ไม่ใช่สติปัญญาในทางธรรม สติปัญญาในทางธรรมต้องสร้างขึ้นมาจากน้อยๆ ไปหามากๆ จนแยกได้ คลายได้ ตามดูได้ จนเป็นมหาสติ จนเป็นมหาปัญญา เอาไปใช้ทำหน้าที่แทนจิตแทนวิญญาณได้ตลอดเวลา จนใจไม่เกิดนั่นแหละ
พูดง่ายนะ แต่เวลาทำไม่ค่อยจะสนใจกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอไปสักกี่เที่ยว หรือไม่ได้สร้างเลย การดับการควบคุมใจของเราเป็นอย่างไร ไม่ได้ทำเลย ตาทำหน้าที่อย่างไร ไม่สังเกตเลย หูทำหน้าที่อย่างไร ไม่สังเกตเลย เวลาจะขบจะฉันก็เหมือนกัน กายของเราหิว หรือว่าใจของเราอยาก ก็ไม่เคยสังเกตเคยวิเคราะห์เลย ก็ทำด้วยความหลงๆ อยู่ในระดับโลกียะ หลงอยู่ในระดับของบุญ
ไม่เหลือวิสัยถ้าค้นคว้าจริงๆ อยู่ในกายก้อนนี้แหล่ะ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก บุญภายนอกเราก็ทำ อานิสงค์ภายนอกเราก็ทำ ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ทำได้มากได้น้อยก็เป็นของพวกเรา พยายามสร้างทำเถอะ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับอานิสงส์นั้นด้วย ได้รับความร่มรื่นร่มเย็น สบายตาสบายใจ บุญก็เกิดขึ้นมาทันที เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก คงต้องพยายามรู้ให้เท่าทันนะ
หลวงพ่อก็เพียงแค่ชี้แนะบอกวิธี บอกอุบาย ไม่ได้บังคับใครสักคน เพียงแค่ชี้แนะบอกวิธี การสร้างความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้นะ คนมีปัญญาแล้วก็จะไปทำเอา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ จะดับได้ สังเกตได้ แยกแยะได้ ก็เป็นหน้าที่ของพวกท่านเอง ไม่ใช่ว่าจะต้องพานั่งพาเดินวันละชั่วโมง 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง เวลาโน้นเวลานี้ไม่เอาไม่ทำ อย่างนั้นไปไม่ถึงไหน
เพียงแค่บอกอุบาย บอกวิธี บอกแนวทางๆ พวกท่านพยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แล้วก็ไปวิเคราะห์ ให้รู้ ให้เห็น ให้ทำความเข้าใจนั่นแหละ บุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว ทั้งภาระหน้าที่การงานก็ความรับผิดชอบที่เต็มเปี่ยมทั้งภายในภายนอก ถ้าใจเราคลายออกจากขันธ์ห้าแล้ว เราก็จะเข้าใจในเรื่องรูป เรื่องนาม เรื่องอัตตาอนัตตา เข้าใจในเรื่องโลกเรื่องธรรม ธรรมกับโลกอาศัยกันอยู่ วิญญาณ หรือว่าใจก็มาอาศัยกายนี้อยู่ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา
แต่เราจะทำความเข้าใจเพื่อที่จะดับทุกข์ ละทุกข์ได้ เราต้องมาเจริญสติ หรือว่ามาสร้างความรู้สึกตัวเพิ่มขึ้นมาอีก แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ เอาไปใช้ไปรู้เท่าทันการเกิดการดับของใจของเรา รู้ลักษณะของใจ ใจหรือว่าจิต หรือว่าวิญญาณ ว่าเขาปกติอย่างไร เขาสงบอย่างไร เวลาเขาก่อตัวอาการเกิดอย่างไร ความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจได้อย่างไร ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม อะไรคือส่วนรูป อะไรคือส่วนนาม
เราต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรตั้งแต่ตื่นขึ้นมา หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสังเกต หมั่นสำรวจตัวเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราเองตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะไปให้คนอื่นเขาบังคับ แต่ละวัน ส่วนสติปัญญาของเราที่เราสร้างขึ้นมา อะไรเรายังติดขัดอยู่ ทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ สมมติภายนอก สิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่เป็นอย่างไรบ้าง เราก็ต้องพยายามเอา อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้งเสียดายเวลา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ก็ต้องพยายามกันนะ มันไม่มีอะไรมากหรอก ถ้าเรารู้จักสนใจในการทำความเข้าใจ อะไรผิดพลาดก็รีบแก้ไขเสีย อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ในเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นอานิสงส์แห่งบุญที่ได้เกิดมา
แนวทางก็มีอยู่ ถ้าเราจะฝักใฝ่สนใจกันจริงๆ ตื่นเช้าขึ้นมาเราก็รีบดูกายของเราเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไร ความคิดอารมณ์ ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมเขาก่อตัวอย่างไร เกิดอย่างไร สมมติเราอะไรยังขาดตกบกพร่องอยู่ แล้วก็รีบแก้ไข รีบแก้ไขตัวเราอยู่ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอน ก็จะเป็นแค่เพียงอิริยาบถ ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาที่ไหนเลย ถ้าเรารู้จักแนวทาง
การสร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบัน คำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ เป็นลักษณะอย่างนี้นะ รู้ได้ต่อเนื่องกันเป็นลักษณะอย่างนี้ ไม่ว่าจะทำการทำงาน รู้กายรู้ใจแล้วก็รับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ทั้งสมมติ รับผิดชอบต่อส่วนรวม ต่อส่วนตัว มีความจริงใจ มีสัจจะกับตัวเราเอง รู้ไม่ทันต้นเหตุ เราก็รู้จักควบคุมเอาไว้ ดับเอาไว้ จนเราอยู่กับบุญนั่นแหละ กายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ ใจก็เป็นบุญ คิดก็ได้ไม่คิดก็ได้ คิดด้วยสติ ด้วยปัญญา แต่เวลานี้ความคิดที่เกิดกับวิญญาณและเกิดจากใจมันไปเร็วไว ความคิดที่เกิดจากอาการของใจ อาการของขันธ์ห้าก็ไปเร็วไว เกิดเร็วไว ใจกับอาการของใจเลยรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
เราก็เรียนรู้เมื่อเรารู้ว่าเราคิดเราทำ ตัวใจนั้นเป็นธาตุรู้ แต่การเกิดการหลงเขามีอยู่ เราไม่ได้มาสร้างความรู้ไปควบคุม หรือว่ามาเจริญสติไปหมั่นพร่ำสอนใจ หมั่นดับ หมั่นควบคุม หมั่นสังเกต จนกว่าใจของเราจะคลายออกนั่นแหละ เราถึงจะรู้ว่าเราใจของเราหลง ตราบใดที่ยังคลายไม่ได้ แยกรูปแยกนามไม่ได้ ทุกคนก็จะไม่ว่าตัวเองหลง
ตราบใดที่ยังสร้างความรู้สึกตัวไม่ต่อเนื่อง ทุกคนก็นึกว่าตัวเองมีสติมีปัญญาเต็มเปี่ยม แต่ก็เต็มเปี่ยม เป็นสติปัญญาของโลกียะเต็มเปี่ยม ไม่ใช่สติปัญญาในทางธรรม สติปัญญาในทางธรรมต้องสร้างขึ้นมาจากน้อยๆ ไปหามากๆ จนแยกได้ คลายได้ ตามดูได้ จนเป็นมหาสติ จนเป็นมหาปัญญา เอาไปใช้ทำหน้าที่แทนจิตแทนวิญญาณได้ตลอดเวลา จนใจไม่เกิดนั่นแหละ
พูดง่ายนะ แต่เวลาทำไม่ค่อยจะสนใจกัน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอไปสักกี่เที่ยว หรือไม่ได้สร้างเลย การดับการควบคุมใจของเราเป็นอย่างไร ไม่ได้ทำเลย ตาทำหน้าที่อย่างไร ไม่สังเกตเลย หูทำหน้าที่อย่างไร ไม่สังเกตเลย เวลาจะขบจะฉันก็เหมือนกัน กายของเราหิว หรือว่าใจของเราอยาก ก็ไม่เคยสังเกตเคยวิเคราะห์เลย ก็ทำด้วยความหลงๆ อยู่ในระดับโลกียะ หลงอยู่ในระดับของบุญ
ไม่เหลือวิสัยถ้าค้นคว้าจริงๆ อยู่ในกายก้อนนี้แหล่ะ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก บุญภายนอกเราก็ทำ อานิสงค์ภายนอกเราก็ทำ ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ทำได้มากได้น้อยก็เป็นของพวกเรา พยายามสร้างทำเถอะ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับอานิสงส์นั้นด้วย ได้รับความร่มรื่นร่มเย็น สบายตาสบายใจ บุญก็เกิดขึ้นมาทันที เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก คงต้องพยายามรู้ให้เท่าทันนะ
หลวงพ่อก็เพียงแค่ชี้แนะบอกวิธี บอกอุบาย ไม่ได้บังคับใครสักคน เพียงแค่ชี้แนะบอกวิธี การสร้างความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้นะ คนมีปัญญาแล้วก็จะไปทำเอา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ จะดับได้ สังเกตได้ แยกแยะได้ ก็เป็นหน้าที่ของพวกท่านเอง ไม่ใช่ว่าจะต้องพานั่งพาเดินวันละชั่วโมง 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง เวลาโน้นเวลานี้ไม่เอาไม่ทำ อย่างนั้นไปไม่ถึงไหน
เพียงแค่บอกอุบาย บอกวิธี บอกแนวทางๆ พวกท่านพยายามสร้างขึ้นมาตั้งแต่ทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา แล้วก็ไปวิเคราะห์ ให้รู้ ให้เห็น ให้ทำความเข้าใจนั่นแหละ บุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว ทั้งภาระหน้าที่การงานก็ความรับผิดชอบที่เต็มเปี่ยมทั้งภายในภายนอก ถ้าใจเราคลายออกจากขันธ์ห้าแล้ว เราก็จะเข้าใจในเรื่องรูป เรื่องนาม เรื่องอัตตาอนัตตา เข้าใจในเรื่องโลกเรื่องธรรม ธรรมกับโลกอาศัยกันอยู่ วิญญาณ หรือว่าใจก็มาอาศัยกายนี้อยู่ ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอา