หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 057
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 057
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายของเราให้สบาย วางใจของเราให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก วิธีการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2 - 3 เที่ยว
ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกของ เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่เวลาลมหายใจเข้ารู้อยู่ที่ปลายจมูกก็พอ เวลาลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่นี่แหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ มีความรู้ตัว ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ความรู้สึกตัว เราต้องสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็ให้รู้ความปกติอยู่ปัจจุบัน คำว่า ‘ปัจจุบัน’ อันนี้เป็นส่วนของการเจริญสติ แล้วก็พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่นอน พอรู้ตัวปุ๊บ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้เกิดความเคยชิน ส่วนใจของเรานั้นบางทีก็ปกติ บางทีเขาก็เกิดส่งออกไปภายนอก ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ใจจะส่งไปภายนอก พอเริ่มก่อตัวปุ๊บ เราจะรู้เท่าทัน เราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ ถ้าหยุดไม่ได้ เราก็พยายามหยุดเขา เรียกว่าใช้สมถะเข้าไปหยุด
ความรู้ตัวกับตัวใจต้องให้ชัดเจนคนละส่วน ไม่ใช่ว่าไปเหมารวมกัน ต้องคนละส่วน เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง แล้วก็รู้จักควบคุมใจ ให้รู้เท่าทันใจ ควบคุมใจ รู้เท่าทันใจ ต่อไปข้างหน้า ใจกับอาการของใจ ถ้าเรารู้เท่าทันใจ เขาจะคลายออกจากกัน จะค่อยๆ ลึกลงไปเรื่อยๆ ค่อยลึกลงไปเรื่อยๆ ใจคลายออกจากอาการของใจ ที่นี้ใจก็จะว่าง ใจก็จะหงาย เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ความรู้ตัวก็จะตามดู เห็นการเกิดการดับของความคิดของขันธ์ห้า ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ เป็นเรื่องอะไร เรื่องอดีต หรือว่าเรื่องอนาคต เป็นกลางๆ เป็นกุศล หรือว่าอกุศล มันจะตามรู้ ตามเห็น ตามทำความเข้าใจ อันนี้สำหรับบุคคลที่มีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง บางครั้งถึงจะเห็น
ถ้าโอกาสไม่เหมาะเจาะก็จะไม่เห็นตรงนี้ เราพยายามสร้างความรู้ตัว น้อมใจของเราเข้ามา น้อมกายของเราเข้ามาฝึกหัดปฏิบัติให้ได้ทุกอิริยาบถ ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราต้องพยายามทำสร้างขึ้นมาให้ชัดเจน เวลาลุก เวลาก้าว เวลาเดิน ก็เหมือนกัน สัมผัสของการเดิน ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ตาเห็นรูป ใจของเราปกติ หูกระทบเสียง เราต้องแยกรูปรสออกกลิ่นเสียงออกจากใจของเรา ทวารทั้งหก เขาก็ทำหน้าที่ของเขา ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนอาศัยกันอยู่ อยู่ในกายก้อนนี้ มีหนังหุ้มห่ออยู่มีวิญญาณ หรือว่าใจของเรามาครอบครอง มาสร้างขึ้นมา เรามายึด เราต้องมาคอยสังเกต คอยวิเคราะห์ จำแนกแจกแจงออก เหมือนกับเชือกที่มีอยู่เส้นเดียว แต่มันมีอยู่ 5 เกลียว เกลียวไหนเป็นเกลียวไหน แต่ไม่ให้ยึดติด ไม่ให้หลงกัน แต่ก็อยู่ด้วยกัน นี่แหละใจของเราก็เหมือนกัน มาอาศัยกายนี้อยู่แล้วก็มาประกอบด้วยส่วนรูปส่วนนาม ถ้าไม่ทำความเข้าใจ ก็ยากที่จะเข้าใจ ส่วนมากคนเราก็ทำความเข้าใจด้วยปัญญาโลกิยะ ก็เลยมองเห็นทั้งก้อนว่าเป็นเราเป็นเขา เป็นนั่นเป็นนี่ แต่เป็นได้ในทางสมมติ แต่ไม่ให้หลง ไม่ให้ยึด
ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไม่มีบุญยากที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้ปฏิบัติธรรมมาด้วย อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่ได้ปฏิบัติ อาจจะปฏิบัติอยู่ในระดับของโลกิยะ ตั้งแต่เด็กเติบโตขึ้นมาในส่วนรูปกาย ถึงวาระเวลาก็ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข จนได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดีอยู่ในระดับของสมมติ
อะไรผิด อะไรถูก เราก็รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเราเอง มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ มีการพัฒนาทางด้านสติ ทางด้านปัญญาในทางสมมติ ช่วยเหลือตัวเองได้ ใช้ตัวเองเป็นอยู่ในระดับหนึ่ง มีความรับผิดชอบต่อตัวเราเอง มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม แต่ยังขาดการวิเคราะห์ลึกลงไปที่ตัวใจว่าไปยังไง มายังไง ขาดอยู่ตรงนี้นี่เอง
การเจริญสติ ลักษณะของการสร้างสติที่ต่อเนื่อง การควบคุมใจ การสังเกตใจ ให้ใจของเราคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ ที่พระพุทธองค์ท่านสอน ท่านสอนเรื่องหลักอริยสัจความจริง สอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา คำว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างไร คำว่า ‘อนัตตา’ เป็นอย่างไร หลักของอริยสัจสี่ ใจส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร ใจเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลสได้อย่างไร เราต้องรู้จักวิเคราะห์ใจของเรา ว่าใจของเราขณะนี้เป็นอย่างไร ใจของเราปกติสงบ ใจของเราเกิดความกังวล ใจของเราเกิดความฟุ้งซ่าน เราจะละด้วยวิธีไหน ดับด้วยวิธีไหน แนวทางมีอยู่หมดเลยทีเดียว
การเจริญสติจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง เราก็จะได้มองเห็นหนทาง เข้าใจในคำสอนของท่านทันที คืออนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ อัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ สมมติวิมุติเป็นลักษณะอย่างนี้ ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างนี้ เราต้องคลายใจของเราออกให้รับรู้ในสิ่งต่างๆ มีสติปัญญาเข้าไปตามดู ตามทำความเข้าใจให้ได้ แต่อยากได้มากได้น้อยก็ต้องพยายามนะ อย่าพากันปล่อยปละละเลย
เรามีโอกาสได้มา มาตั้งไกลมาจากกรุงเทพฯ มาก็วางกายให้สบาย แล้วก็พยายามดูแลใจของเรา มีอะไรก็ให้เหมือนพี่เหมือนน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เคารพกันในธรรม เคารพกันตามหน้าที่ ทุกคนก็มีข้อวัตรปฏิบัติอยู่ในตัว ทุกคนก็มีความเป็นระเบียบอยู่ในตัว ไม่จำเป็นต้องให้คนนั้นคนนี้เขาบังคับ อย่าให้คนอื่นมาบังคับตัวเรา เราต้องเจริญสติให้หมั่นพร่ำสอนใจของเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ผิดถูกชั่วดีอย่างไร เราก็รีบแก้ไขตัวเรา ถ้าเราเป็นคนฉลาด
ถ้าคนไม่ฉลาดจะไปเที่ยวให้คนนั้นเขาบังคับ คนนี้เขาบังคับ ต้องทำอย่างนั้น ต้องเอาอย่างนี้ จะไปเที่ยวให้คนนั้นเขาบังคับตัวเอง อย่างนั้นเขาเรียกว่าคนไม่ฉลาด คนฉลาดเขาจะแก้ไขตัวเราเอง ฉลาดด้วยแนวทางของพระพุทธองค์ ไม่ใช่ว่าฉลาดแบบแกมโกง ฉลาดแบบหลงๆ เราต้องฉลาดด้วยการเจริญสติ ด้วยการฝักใฝ่ ด้วยการทำความเข้าใจ หาความจริงให้ปรากฏขึ้นในใจของเรา มองเห็นหนทางเดิน ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าข้างคนอื่น ทำความเข้าใจให้มันเต็มเปี่ยมเสียก่อน ก่อนที่จะหมดลมหายใจกัน ก็ต้องพยายาม
ทุกคนมีบุญกันอยู่แล้ว มาที่นี่ก็ให้เหมือนมาบ้านของตัวเราเอง มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ ไม่ว่าโยมผู้หญิงโยมผู้ชาย โยมผู้หญิงอยากจะทำกับข้าวกับปลาก็ไปช่วยกันทำ ล้างถ้วยล้างชาม เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ หรือว่าโยมผู้ชายก็ให้ไปช่วยกันทำ ต้องให้ทำเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้เต็มรอบหมด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ชีวิตของเรายังเกี่ยวเนื่องอยู่กับการอยู่การกิน การไปการมา อยู่กับสมมติ อยู่กับสังคม
ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ธรรม จะทำอะไรก็ไม่เป็น ไปอยู่ที่ไหนก็ลำบาก ตัวเราก็ลำบาก ต้องให้เต็มรอบหมดทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ ถึงไม่เต็มรอบ ก็ให้สมมติ ก็ให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองจนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ ช่วยหมู่ช่วยคณะ ความเสียสละต้องมี ความรับผิดชอบก็ต้องมี ไม่ใช่ว่ามีแต่ความเห็นแก่ตัว อันโน้นก็ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน อันนั้นก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ต้องทุกคนมีหน้าที่เหมือนกันหมด เข้ามาในสถานที่ตรงนี้ มีอะไรก็ช่วยกันได้ก็ช่วยกัน
ห้องส้วมห้องน้ำ ตรงไหนมันไม่ดีมันไม่มีน้ำ เราก็เปิดน้ำใส่ มันสกปรกพวกเราก็รีบทำความสะอาดเสีย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเศษขยะ เศษอะไรต่างๆ เรามองเห็นตามถนนหนทาง เศษตะปู เศษแก้ว เศษอะไร เราก็เก็บเสีย มองข้างบน มองข้างล่าง มองกลางใจของเรา จากปากตรอกถึงก้นครัวให้มันเรียบร้อย ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เคอะไม่เขิน ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมกันเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ความรู้สึกรับรู้เวลาลมกระทบปลายจมูกของ เรามีความรู้สึกรับรู้อยู่เวลาลมหายใจเข้ารู้อยู่ที่ปลายจมูกก็พอ เวลาลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่นี่แหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ มีความรู้ตัว ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ความรู้สึกตัว เราต้องสร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาแล้วก็สร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็ให้รู้ความปกติอยู่ปัจจุบัน คำว่า ‘ปัจจุบัน’ อันนี้เป็นส่วนของการเจริญสติ แล้วก็พยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่นอน พอรู้ตัวปุ๊บ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้เกิดความเคยชิน ส่วนใจของเรานั้นบางทีก็ปกติ บางทีเขาก็เกิดส่งออกไปภายนอก ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ใจจะส่งไปภายนอก พอเริ่มก่อตัวปุ๊บ เราจะรู้เท่าทัน เราก็รู้จักระงับยับยั้งเอาไว้ ถ้าหยุดไม่ได้ เราก็พยายามหยุดเขา เรียกว่าใช้สมถะเข้าไปหยุด
ความรู้ตัวกับตัวใจต้องให้ชัดเจนคนละส่วน ไม่ใช่ว่าไปเหมารวมกัน ต้องคนละส่วน เราสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เข้มแข็ง แล้วก็รู้จักควบคุมใจ ให้รู้เท่าทันใจ ควบคุมใจ รู้เท่าทันใจ ต่อไปข้างหน้า ใจกับอาการของใจ ถ้าเรารู้เท่าทันใจ เขาจะคลายออกจากกัน จะค่อยๆ ลึกลงไปเรื่อยๆ ค่อยลึกลงไปเรื่อยๆ ใจคลายออกจากอาการของใจ ที่นี้ใจก็จะว่าง ใจก็จะหงาย เขาเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ความรู้ตัวก็จะตามดู เห็นการเกิดการดับของความคิดของขันธ์ห้า ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ เป็นเรื่องอะไร เรื่องอดีต หรือว่าเรื่องอนาคต เป็นกลางๆ เป็นกุศล หรือว่าอกุศล มันจะตามรู้ ตามเห็น ตามทำความเข้าใจ อันนี้สำหรับบุคคลที่มีความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง บางครั้งถึงจะเห็น
ถ้าโอกาสไม่เหมาะเจาะก็จะไม่เห็นตรงนี้ เราพยายามสร้างความรู้ตัว น้อมใจของเราเข้ามา น้อมกายของเราเข้ามาฝึกหัดปฏิบัติให้ได้ทุกอิริยาบถ ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราต้องพยายามทำสร้างขึ้นมาให้ชัดเจน เวลาลุก เวลาก้าว เวลาเดิน ก็เหมือนกัน สัมผัสของการเดิน ความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน ตาเห็นรูป ใจของเราปกติ หูกระทบเสียง เราต้องแยกรูปรสออกกลิ่นเสียงออกจากใจของเรา ทวารทั้งหก เขาก็ทำหน้าที่ของเขา ตาก็ทำหน้าที่ดู หูก็ทำหน้าที่ฟัง
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนอาศัยกันอยู่ อยู่ในกายก้อนนี้ มีหนังหุ้มห่ออยู่มีวิญญาณ หรือว่าใจของเรามาครอบครอง มาสร้างขึ้นมา เรามายึด เราต้องมาคอยสังเกต คอยวิเคราะห์ จำแนกแจกแจงออก เหมือนกับเชือกที่มีอยู่เส้นเดียว แต่มันมีอยู่ 5 เกลียว เกลียวไหนเป็นเกลียวไหน แต่ไม่ให้ยึดติด ไม่ให้หลงกัน แต่ก็อยู่ด้วยกัน นี่แหละใจของเราก็เหมือนกัน มาอาศัยกายนี้อยู่แล้วก็มาประกอบด้วยส่วนรูปส่วนนาม ถ้าไม่ทำความเข้าใจ ก็ยากที่จะเข้าใจ ส่วนมากคนเราก็ทำความเข้าใจด้วยปัญญาโลกิยะ ก็เลยมองเห็นทั้งก้อนว่าเป็นเราเป็นเขา เป็นนั่นเป็นนี่ แต่เป็นได้ในทางสมมติ แต่ไม่ให้หลง ไม่ให้ยึด
ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไม่มีบุญยากที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้ปฏิบัติธรรมมาด้วย อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่ได้ปฏิบัติ อาจจะปฏิบัติอยู่ในระดับของโลกิยะ ตั้งแต่เด็กเติบโตขึ้นมาในส่วนรูปกาย ถึงวาระเวลาก็ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียน ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข จนได้ทำการทำงาน มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดีอยู่ในระดับของสมมติ
อะไรผิด อะไรถูก เราก็รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเราเอง มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ มีการพัฒนาทางด้านสติ ทางด้านปัญญาในทางสมมติ ช่วยเหลือตัวเองได้ ใช้ตัวเองเป็นอยู่ในระดับหนึ่ง มีความรับผิดชอบต่อตัวเราเอง มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม แต่ยังขาดการวิเคราะห์ลึกลงไปที่ตัวใจว่าไปยังไง มายังไง ขาดอยู่ตรงนี้นี่เอง
การเจริญสติ ลักษณะของการสร้างสติที่ต่อเนื่อง การควบคุมใจ การสังเกตใจ ให้ใจของเราคลายออกจากความคิด ออกจากอารมณ์ อะไรคือสมมติ อะไรคือวิมุตติ ที่พระพุทธองค์ท่านสอน ท่านสอนเรื่องหลักอริยสัจความจริง สอนเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา คำว่า ‘อัตตา’ เป็นอย่างไร คำว่า ‘อนัตตา’ เป็นอย่างไร หลักของอริยสัจสี่ ใจส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร ใจเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลสได้อย่างไร เราต้องรู้จักวิเคราะห์ใจของเรา ว่าใจของเราขณะนี้เป็นอย่างไร ใจของเราปกติสงบ ใจของเราเกิดความกังวล ใจของเราเกิดความฟุ้งซ่าน เราจะละด้วยวิธีไหน ดับด้วยวิธีไหน แนวทางมีอยู่หมดเลยทีเดียว
การเจริญสติจนกว่าใจของเราจะคลายออกจากความคิด ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ ในหลักธรรมท่านเรียกว่า ‘สัมมาทิฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง เราก็จะได้มองเห็นหนทาง เข้าใจในคำสอนของท่านทันที คืออนัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ อัตตาเป็นลักษณะอย่างนี้ สมมติวิมุติเป็นลักษณะอย่างนี้ ภาษาธรรมภาษาโลก สักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นอย่างนี้ เราต้องคลายใจของเราออกให้รับรู้ในสิ่งต่างๆ มีสติปัญญาเข้าไปตามดู ตามทำความเข้าใจให้ได้ แต่อยากได้มากได้น้อยก็ต้องพยายามนะ อย่าพากันปล่อยปละละเลย
เรามีโอกาสได้มา มาตั้งไกลมาจากกรุงเทพฯ มาก็วางกายให้สบาย แล้วก็พยายามดูแลใจของเรา มีอะไรก็ให้เหมือนพี่เหมือนน้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เคารพกันในธรรม เคารพกันตามหน้าที่ ทุกคนก็มีข้อวัตรปฏิบัติอยู่ในตัว ทุกคนก็มีความเป็นระเบียบอยู่ในตัว ไม่จำเป็นต้องให้คนนั้นคนนี้เขาบังคับ อย่าให้คนอื่นมาบังคับตัวเรา เราต้องเจริญสติให้หมั่นพร่ำสอนใจของเรา แก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา ผิดถูกชั่วดีอย่างไร เราก็รีบแก้ไขตัวเรา ถ้าเราเป็นคนฉลาด
ถ้าคนไม่ฉลาดจะไปเที่ยวให้คนนั้นเขาบังคับ คนนี้เขาบังคับ ต้องทำอย่างนั้น ต้องเอาอย่างนี้ จะไปเที่ยวให้คนนั้นเขาบังคับตัวเอง อย่างนั้นเขาเรียกว่าคนไม่ฉลาด คนฉลาดเขาจะแก้ไขตัวเราเอง ฉลาดด้วยแนวทางของพระพุทธองค์ ไม่ใช่ว่าฉลาดแบบแกมโกง ฉลาดแบบหลงๆ เราต้องฉลาดด้วยการเจริญสติ ด้วยการฝักใฝ่ ด้วยการทำความเข้าใจ หาความจริงให้ปรากฏขึ้นในใจของเรา มองเห็นหนทางเดิน ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าข้างคนอื่น ทำความเข้าใจให้มันเต็มเปี่ยมเสียก่อน ก่อนที่จะหมดลมหายใจกัน ก็ต้องพยายาม
ทุกคนมีบุญกันอยู่แล้ว มาที่นี่ก็ให้เหมือนมาบ้านของตัวเราเอง มีอะไรก็ให้ช่วยกันทำ ไม่ว่าโยมผู้หญิงโยมผู้ชาย โยมผู้หญิงอยากจะทำกับข้าวกับปลาก็ไปช่วยกันทำ ล้างถ้วยล้างชาม เป็นบุคคลที่มีความเสียสละ หรือว่าโยมผู้ชายก็ให้ไปช่วยกันทำ ต้องให้ทำเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้เต็มรอบหมด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ชีวิตของเรายังเกี่ยวเนื่องอยู่กับการอยู่การกิน การไปการมา อยู่กับสมมติ อยู่กับสังคม
ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ธรรม จะทำอะไรก็ไม่เป็น ไปอยู่ที่ไหนก็ลำบาก ตัวเราก็ลำบาก ต้องให้เต็มรอบหมดทั้งสมมติ ทั้งวิมุตติ ถึงไม่เต็มรอบ ก็ให้สมมติ ก็ให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองจนล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะ ช่วยหมู่ช่วยคณะ ความเสียสละต้องมี ความรับผิดชอบก็ต้องมี ไม่ใช่ว่ามีแต่ความเห็นแก่ตัว อันโน้นก็ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน อันนั้นก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ต้องทุกคนมีหน้าที่เหมือนกันหมด เข้ามาในสถานที่ตรงนี้ มีอะไรก็ช่วยกันได้ก็ช่วยกัน
ห้องส้วมห้องน้ำ ตรงไหนมันไม่ดีมันไม่มีน้ำ เราก็เปิดน้ำใส่ มันสกปรกพวกเราก็รีบทำความสะอาดเสีย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเศษขยะ เศษอะไรต่างๆ เรามองเห็นตามถนนหนทาง เศษตะปู เศษแก้ว เศษอะไร เราก็เก็บเสีย มองข้างบน มองข้างล่าง มองกลางใจของเรา จากปากตรอกถึงก้นครัวให้มันเรียบร้อย ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เคอะไม่เขิน ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมกันเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ เพียงแค่เล่าให้ฟัง