หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 76
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560 ลำดับที่ 76
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2560
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ญาติโยมเราก็พากันสมาทานศีลไหว้พระกันเสียก่อนนะ ขอให้ทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจนแล้วก็ให้ต่อเนื่อง นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือก็ได้ ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกไปด้วย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ การสูดลมหายใจยาว ผ่อนลมหายใจยาว มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราอันนี้แหละที่ท่านเรียกว่า สติรู้กาย
เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้น ให้ต่อเนื่องแล้วก็เข้มแข็ง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ วางภาระหน้าที่การงานทางสมมติเราก็วางมาแล้ว ทีนี้การสร้างความรู้ตัวลึกลงไป เราก็จะรู้ความปกติของใจ เราก็เห็นการเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้า อะไรส่วนรูป อะไรส่วนนาม
ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อันนี้ก็สร้างบุญมาดีอยู่ในระดับหนึ่ง อยากจะให้สูงขึ้นไปอีกเราต้องมาทำความเข้าใจในอัตภาพร่างกายของเราก้อนนี้ ที่ท่านบอกว่าเป็นก้อน เป็นขันธ์ เป็นลักษณะอย่างไร นี่มีวิญญาณเข้ามาครอบครองหรือว่าตัวใจ
เราต้องมาเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ที่ท่านได้ค้นพบ แล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกก็คือพวกเรานี่แหละได้ประพฤติได้ปฏิบัติ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ ชื่อของอาการชื่อของหน้าตาซึ่งมีอยู่ในกายในใจของเรา กองวิญญาณเป็นอย่างนี้ กองขันธ์ห้า อาการส่วนนามธรรม กองสังขาร กองของรูปมีอยู่ในกายของเราหมด ถ้าเรารู้จักค้นคว้าแต่อย่าไปค้นคว้าด้วยตัวใจที่ส่งออกไปแสวงหา
เราพยายามสร้างความรู้ตัว เอาสติปัญญาของเราไปใช้ เห็นเหตุเห็นผล เห็นจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หงายขึ้นมาเหมือนกับหงายของที่คว่ำ ใจเกิดกิเลสเราก็รู้จักละกิเลส อบรมใจของเรา ใจของเรามีทิฏฐิมีมานะเราก็พยายามขัดเกลา ใจของเราเกิดกิเลสเราก็พยายามละ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจเกิดความตระหนี่เหนียวแน่นเราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ใจเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรเป็นกุศลหรือว่าอกุศล ให้เราพยายามดำเนิน ให้เราพยายามทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา
ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ว่าให้เชื่อแบบงมงาย ให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล เห็นเหตุเห็นผลจนใจมองเห็นความเป็นจริง รู้จักจุดปล่อย รู้จักจุดละ รู้จักจุดวาง พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ญาติโยมก็เหมือนกัน ต่างคนก็ต่างปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ต่างคนก็ต่างปรารถนาที่จะขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร เราก็ต้องพยายามขัดเกลาเอาออกทีละเล็กทีละน้อยเดี๋ยวก็ถึงจุดหมายปลายทางกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวของเราใหม่ อยู่ตลอดเวลา
ท่านถึงบอกว่าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขณะทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก แม้ตั้งแต่การเจริญสติเราก็ต้องรู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ถึงจะเข้าถึงความหมายนั้นๆ ก็อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
ความตายนี่ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ความตายนี่มีมากับพร้อมกับความเกิด ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ไม่ได้ไป ถ้าถึงเวลาแล้วเอาอะไรมาฉุดมารั้งเอาไว้ก็ไม่อยู่ ขอให้พวกเราจงพยายามตักตวง สร้างบุญสร้างกุศล เจริญสติ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไรมาอย่างไร ผิดพลาดแก้ไขใหม่ แก้ไขขณะที่เรายังมีกําลังอยู่นี่แหละ ถ้าหมดลมหายใจแล้วก็มีแต่เรื่องของบุญกับบาป มีตั้งแต่เรื่องของกรรม เราจงพยายามทำความเข้าใจกับกรรม
กรรมภายในกายของเราคือขันธ์ห้านี่แหละเขาเรียกว่า ก้อนกรรม ถ้าเราแยกแยะใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ ตามดูรู้เห็นขันธ์ห้าตามความเป็นจริง เราก็รู้จักละ รู้จักดับ รู้จักวาง กรรมเก่าก็ตามไม่ทันก็เป็นอโหสิกรรม กรรมใหม่เราก็ทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติ ด้วยปัญญา ไม่ให้ใจของเราเข้าไปหลงเข้าไปยึด เราก็อยู่เหนือกรรม
ไม่อยากจะเกิด เราก็ดับความเกิดของใจ ยกระดับใจให้อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกันนะ สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ
เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้น ให้ต่อเนื่องแล้วก็เข้มแข็ง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ความรู้สึกพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ วางภาระหน้าที่การงานทางสมมติเราก็วางมาแล้ว ทีนี้การสร้างความรู้ตัวลึกลงไป เราก็จะรู้ความปกติของใจ เราก็เห็นการเกิดการดับของใจ การเกิดการดับของขันธ์ห้า อะไรส่วนรูป อะไรส่วนนาม
ทุกคนก็มีบุญถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อันนี้ก็สร้างบุญมาดีอยู่ในระดับหนึ่ง อยากจะให้สูงขึ้นไปอีกเราต้องมาทำความเข้าใจในอัตภาพร่างกายของเราก้อนนี้ ที่ท่านบอกว่าเป็นก้อน เป็นขันธ์ เป็นลักษณะอย่างไร นี่มีวิญญาณเข้ามาครอบครองหรือว่าตัวใจ
เราต้องมาเจริญสติตามแนวทางของพระพุทธองค์ที่ท่านได้ค้นพบ แล้วก็เอามาเปิดเผยให้สัตว์โลกก็คือพวกเรานี่แหละได้ประพฤติได้ปฏิบัติ การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การละกิเลสเป็นอย่างนี้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ ชื่อของอาการชื่อของหน้าตาซึ่งมีอยู่ในกายในใจของเรา กองวิญญาณเป็นอย่างนี้ กองขันธ์ห้า อาการส่วนนามธรรม กองสังขาร กองของรูปมีอยู่ในกายของเราหมด ถ้าเรารู้จักค้นคว้าแต่อย่าไปค้นคว้าด้วยตัวใจที่ส่งออกไปแสวงหา
เราพยายามสร้างความรู้ตัว เอาสติปัญญาของเราไปใช้ เห็นเหตุเห็นผล เห็นจนใจคลายออกจากขันธ์ห้า หงายขึ้นมาเหมือนกับหงายของที่คว่ำ ใจเกิดกิเลสเราก็รู้จักละกิเลส อบรมใจของเรา ใจของเรามีทิฏฐิมีมานะเราก็พยายามขัดเกลา ใจของเราเกิดกิเลสเราก็พยายามละ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจเกิดความตระหนี่เหนียวแน่นเราก็พยายามละความตระหนี่เหนียวแน่นด้วยการให้ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ใจเกิดความโกรธเราก็พยายามดับความโกรธด้วยการให้อภัยทาน มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี อะไรที่จะเป็นบุญ อะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรเป็นกุศลหรือว่าอกุศล ให้เราพยายามดำเนิน ให้เราพยายามทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา
ท่านถึงบอกให้เชื่อ ไม่ใช่ว่าให้เชื่อแบบงมงาย ให้เชื่อด้วยเหตุด้วยผล เห็นเหตุเห็นผลจนใจมองเห็นความเป็นจริง รู้จักจุดปล่อย รู้จักจุดละ รู้จักจุดวาง พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน ญาติโยมก็เหมือนกัน ต่างคนก็ต่างปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ต่างคนก็ต่างปรารถนาที่จะขัดเกลากิเลสออกจากใจของเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน กิเลสเกิดขึ้นเมื่อไร เราก็ต้องพยายามขัดเกลาเอาออกทีละเล็กทีละน้อยเดี๋ยวก็ถึงจุดหมายปลายทางกัน ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่ ปรับปรุงตัวของเราใหม่ อยู่ตลอดเวลา
ท่านถึงบอกว่าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขณะทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก แม้ตั้งแต่การเจริญสติเราก็ต้องรู้จักเอาสติปัญญาไปใช้ถึงจะเข้าถึงความหมายนั้นๆ ก็อย่าพากันผัดวันประกันพรุ่ง อย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง
ความตายนี่ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ทุกคนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด ความตายนี่มีมากับพร้อมกับความเกิด ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ไม่ได้ไป ถ้าถึงเวลาแล้วเอาอะไรมาฉุดมารั้งเอาไว้ก็ไม่อยู่ ขอให้พวกเราจงพยายามตักตวง สร้างบุญสร้างกุศล เจริญสติ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไรมาอย่างไร ผิดพลาดแก้ไขใหม่ แก้ไขขณะที่เรายังมีกําลังอยู่นี่แหละ ถ้าหมดลมหายใจแล้วก็มีแต่เรื่องของบุญกับบาป มีตั้งแต่เรื่องของกรรม เราจงพยายามทำความเข้าใจกับกรรม
กรรมภายในกายของเราคือขันธ์ห้านี่แหละเขาเรียกว่า ก้อนกรรม ถ้าเราแยกแยะใจคลายออกจากขันธ์ห้าได้ ตามดูรู้เห็นขันธ์ห้าตามความเป็นจริง เราก็รู้จักละ รู้จักดับ รู้จักวาง กรรมเก่าก็ตามไม่ทันก็เป็นอโหสิกรรม กรรมใหม่เราก็ทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติ ด้วยปัญญา ไม่ให้ใจของเราเข้าไปหลงเข้าไปยึด เราก็อยู่เหนือกรรม
ไม่อยากจะเกิด เราก็ดับความเกิดของใจ ยกระดับใจให้อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง มองเห็นหนทางเดินว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกันนะ สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้เชื่อมโยงกันสักนิดหนึ่งก็ยังดี ทำใจให้โล่ง สมองให้โปร่ง มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราให้ชัดเจนกัน
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจให้รู้ทุกอิริยาบถ