หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 029
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558 ลำดับที่ 029
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2558
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
วันนี้ตรงกันกับวันที่เท่าไหร่นะ 15 ฟ้าก็ลงนิดหน่อย ลงไม่เยอะ เห็นว่าที่อื่นหนักอยู่ บางที่ก็เป็นพายุ พายุหนักบ้านเรือนพังเป็นร้อยๆ ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงเยอะ พวกเรามีโอกาสได้มาสร้างบุญสร้างอานิสงส์กันมากมาย ตื่นขึ้นมา มีเวลาว่างก็มาวัด มาทำบุญให้ทาน ใจเป็นบุญ ฝักใฝ่ในบุญ
แต่อย่าลืมการเจริญสติไปวิเคราะห์การเกิดการดับของใจ ว่าทำไมใจถึงเกิด หรือว่าวิญญาณในกายของเราเขาเกิดมาหลายภพหลายชาติ เกิดมานาน เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปสังเกตจนเขาคลายออกจากความหลง จนเขาคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม คลายยังไม่พอนะ ต้องดับความเกิดอีก
การเกิดนั่นแหละคือความหลง ถ้าไม่หลงไม่เกิด แต่เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าปกปิดเอาไว้ เราก็ต้องเจริญสติเข้าไปคลาย เข้าไปอบรม แล้วก็สร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างบารมี ขัดเกลา เขาหลงมานาน เขาเกิดความโลภ ความโกรธ เกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความยินดียินร้าย ทั้งผลักไส ทั้งดึงเข้ามา สารพัดอย่าง วิญญาณเขาเกิด เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรมแก้ไข พิจารณา ชี้เหตุชี้ผลตามแนวทางของพระพุทธองค์ ว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องชีวิตนี่แหละ ไม่ได้สอนเรื่องอะไร
พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน มีโอกาสมาก อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาสํารวจใจสํารวจกาย อะไรภาระหน้าที่การงาน อะไรงานก่อน งานหลัง งานปัจจุบัน ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ส่วนตัวประโยชน์ส่วนรวมประโยชน์ส่วนตัวนี้กําจัดออกไป ให้เหลือแต่ประโยชน์ส่วนรวม แต่เราก็พลอยได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ต้องพยายามกัน
ประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่มีบุญ ได้เกิดมามีพระพุทธศาสนาเป็นหลักชัยให้ ทุกศาสนาก็ดีหมดๆ แต่พุทธศาสนานี่จะมีสิ่งที่สูงกว่าเพื่อนอยู่ หลักของอนัตตา หลักของอนัตตา การปล่อย การวาง ความว่าง ความบริสุทธิ์ ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี แต่คนไม่เข้าใจก็ไปเอาศาสนาไปโต้แย้งกันไปเถียงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็เลยแทนที่จะมีความสุข กลับมีแต่ความทุกข์ แทนที่จะเอาไปแก้ไข ปรับปรุงตัวเราให้ถึงจุดหมาย
ศาสนาอยู่ที่ใจของเรา อยู่ที่กายของเรา อยู่ที่กาย วาจา แล้วก็อยู่ที่ใจของเรา จบอยู่ที่ใจของเรา ไม่ต้องไปวุ่นวายอะไร บ้างก็เอาไปโตแย้งกัน เถียงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ ใจของเรามีความสงบ บริหารด้วยปัญญา แก้ไขด้วยปัญญา
คนทั่วไปถึงห่างไกลๆ จะไปแก้ไขเอาตั้งแต่ทางด้านนอก แก้ไขเอาแต่เฉพาะทางรูปธรรม ไม่แก้ไขพื้นฐานภายในเสียก่อนให้จบ ก็เลยทะเลาะเบาะแว้งกัน บ้านเมืองก็เลยทะเลาะเบาะแว้งกัน ศาสนาไม่เสื่อม ศาสนาอยู่ที่ใจ คําสอนมีอยู่ เราก็ปฏิบัติตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจ หมดความสงสัย หมดความลังเล
แต่เวลานี้กําลังสติมีน้อย กําลังสติแทบไม่ได้เจริญเลย แทบไม่ได้สร้างเลย เพราะว่าปัญญาเก่า ปัญญาโลกีย์ ถึงใจจะเป็นบุญอยู่ แต่ก็ยังเป็นปัญญาโลกีย์อยู่ ยังแยกไม่ได้ ยังคลายไม่ได้ ก็มองเห็นเฉพาะความถูกระดับของสมมติ คิดก็รู้ ทำก็รู้ ก็หลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ เพราะว่าไม่ได้เจริญสติตัวใหม่ เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ จิตเขาก็รู้ ธรรมเขาก็รู้ ใจเขาเป็นธาตุรู้ ทั้งที่เขาก็ยังรู้อยู่ในความหลงอยู่ เพราะว่าเขายังหลงเกิด หลงรวมมาสร้างขันธ์ห้ามาปิดกั้นตัวเองเอาไว้อยู่ แล้วก็หลงเป็นทาสของกิเลสอีก
หลวงพ่อถึงพาขัดเกลากิเลส ด้วยการพากันสร้างบุญสร้างบารมีนี่แหละ เรามีโอกาสได้มาสร้างมาทำ เปิดโอกาสให้กับทุกคน ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ฝากเอาไว้กับสมมติของเรา แต่งานภายใน งานชําระกิเลส เราต้องจัดการกับตัวของเรา ใจเกิดกิเลสความอยากแม้แต่นิดเดียว ก็อย่าให้เกิด ดับความเกิด ใจไม่เกิด มันก็ไม่มีกิเลส
เดี๋ยวนี้ปัญญาที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้าเขามีมาเดิม เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรม ชี้เหตุชี้ผล ตามดูเหตุตามดูผล ดับความเกิดของใจ ก่อนที่จะดับความเกิดของใจนั้นต้องคลายความหลง หรือว่าแยกรูปแยกนาม แล้วก็ละกิเลสที่ใจ แล้วก็ดับความเกิดของใจ หนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทน ด้วยปัญญาล้วนๆ ถึงจะมีความสุข ได้บ้างไม่ได้บ้างก็อย่าพากันทิ้ง ให้พากันทำ ให้สํารวจใจตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน
อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง เรามีโอกาสมากมายมหาศาล ทุกหายใจเข้าออก เพียงแค่เรามาปรับความคิดเห็นให้ถูกให้ตรง แล้วก็ขัดเกลากิเลส แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานานแล้ว การเจริญสติ การแยกรูปแยกนาม หลักของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า หลักของอริยสัจความจริงอันประเสริฐอยู่ในกายของเราหมด ไม่ต้องไปถกเถียงกัน
คนทั่วไปแล้วปฏิบัติธรรมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แทนที่จะปฏิบัติขัดเกลาให้เหลือเป็นความเป็นเอกเป็นหนึ่ง คือความบริสุทธิ์ของใจด้วยปัญญา แก้ไขด้วยปัญญา ถ้าจะอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนก็อยู่ด้วยปัญญาให้คลายภายในให้มันได้เสียก่อน แล้วก็ขยันหมั่นเพียรด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญายังประโยชน์สมมติให้เต็มเปี่ยม เราก็จะมีความสุขทั้งภายนอกทั้งภายใน ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ชีเราก็เหมือนกัน อยู่หลายคนหลายองค์ก็มีความสุขดี ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะว่าได้ยินข่าวทราบข่าวว่าผู้หญิงอยู่ 2 คนก็ไม่ถูกกัน อันนี้อยู่ตั้งหลายคนนะ หรือจับกันเป็นคู่ๆ ต่อยกัน ไม่ได้ คงไม่ได้ยินข่าวทั้งพระ ทั้งชี ทั้งโยมอย่าให้มีเรามาแก้ไขตัวเรา มาปรับปรุงตัวเรา มีข้อวัตรปฏิบัติในตัวเอง ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย หลวงพ่อเพียงแค่พูดให้ฟังเท่านั้นแหละ เพราะว่าสภาพร่างกายไม่แข็งแรง ตอนนี้อาศัยตั้งแต่วาจา พาพี่พาน้องทำบุญ สภาพร่างกายนี้ไม่รู้ว่าจะไปได้สักกี่วัน
ตั้งใจรับพรกัน ลืมไป ใครยังไม่ได้ไปชมสวนมะลิวัลย์ก็ไปเสียเด้อ เพราะว่าดอกไม้เต็มสวนไปหมดเลย เดี๋ยวดอกไม้มันร่วงเสียก่อน สวยงามมากทีเดียว หอมกรุ่นทั้งกลางวันทั้งกลางคืน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน เราอย่าไปเอาความนึกคิดปรุงแต่งเก่าๆ ของเรามาโต้แย้ง มาขัดแย้ง เพียงแค่เรามาเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงให้ได้เสียก่อน ตรงนี้แหละสำคัญ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราอย่าไปมองข้ามว่าความคิดเราก็มี สติปัญญาเราก็มี มันก็มีอยู่ระดับของโลกีย์ ของโลกๆ ถึงจะเก่งถึงขนาดไหน ใจก็ยังเกิดอยู่ ใจก็ยังหลงอยู่
ต้องมาเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ใจพลิกจากของที่คว่ำ หงายขึ้นมา แล้วก็ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้ เราตามดูตามรู้ตามเห็น ชี้เหตุชี้ผลจนใจยอมรับความเป็นจริง ว่าไม่มีสารประโยชน์แก่นสารอะไร แล้วก็ค่อยละ เราก็ละกิเลส เราก็ดับความเกิดของใจ หนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทน เห็นเหตุเห็นผล ของดีอยู่ในกายของเราหมด ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่กายของเรา ตื่นขึ้นมาความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ศรัทธาของเรามีความเชื่อมั่น อย่าไปเชื่อแบบหลงงมงาย ต้องเชื่อด้วย รู้ด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ละให้มันได้ด้วย มันถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ อย่าไปกังวลกับสิ่งต่างๆ
คําสอนของพระพุทธองค์ตั้งเอาไว้ให้เราปฏิบัติตาม การละกิเลสเป็นอย่างนี้ กิเลสหยาบเป็นอย่างนี้ กิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ ทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ให้รู้ให้เห็น หมดความสงสัย อยู่ด้วยปัญญา มีความสุข ทำไมเราถึงมีไม่เพียบพร้อม เราขาดตกบกพร่องอะไร ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ ความรับผิดชอบของเรามีหรือไม่ เวลาแต่ละทุกลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร ทุกขณะจิตเป็นอย่างไร ทุกขณะลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร จนสติที่เราสร้างขึ้นมา จนกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติแยกใจออกจากขันธ์ห้าได้ ตามดูได้ก็จะกลายเป็นมหาสติ กลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาค้นคว้าได้หมด แล้วก็จะกลายเป็นปัญญา ปัญญาอยู่เหนือปัญญา เราก็ต้องพยายามดูรู้ ทำความเข้าใจ
ใหม่ๆ ก็อาจจะฟังไม่รู้เรื่อง นอกจากบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับ การควบคุมเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ เรารู้จักวิธีแล้วรู้จักแนวทางแล้ว เรารู้จักตัวใจของเรา เราก็จัดการกับตัวใจของเราให้มันได้ ก็ต้องพยายามนะ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ทุกคนก็ปรารถนาที่จะถึงจุดหมายปลายทางกัน บางคนก็ถึงช้า บางคนก็ถึงเร็ว แต่เราก็อย่าไปเกียจคร้าน พยายามขยันหมั่นเพียร สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา จะส่งผลถึงวันข้างหน้า จะทำปุ๊บให้ได้ปั๊บ มันก็เป็นไปไม่ได้หรอก
เพราะว่าการเกิดของจิตวิญญาณนี่เขาเกิดมาตั้งนาน จะไปแก้ไขเขาก็ต้องมีเหตุมีผล แล้วก็ต้องขยันหมั่นเพียร สร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมี ขัดเกลา เอาออก ให้ใจของเรามันคลายออกทีละเล็กทีละน้อย ใจของเรามีความอยาก เราก็ละความอยาก ใจของเราเกิดความโลภ เราก็ละความโลภ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามปรับความแข็งกระด้าง ให้มีความอ่อนโยนใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่นหรือว่าใจของเราขาดความกตัญญู เราก็ต้องพยายามสร้างให้มา มองโลกในทางที่ดี คิดดี สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน เดินไม่ถึงในวันนี้ก็พรุ่งนี้ก็ต้องถึง ถ้าไม่ถึงพรุ่งนี้ก็เดือนหน้า ปีหน้า ไม่ถึงจริงๆ ไปต่อเอาภพหน้า กายเนื้อแตกดับ จิตวิญญาณยังเหลือเขาต้องไปต่อ เราก็ต้องพยายาม พยายามสร้างเอา สิ่งพวกนี้บังคับกันไม่ได้ เหมือนกับปลูกผลหมากรากไม้ เราจะเร่งออกดอก ออกผล วันเดียวก็ไม่ได้ เราต้องหมั่นดูแล ถึงเวลาเขาก็ออกดอกออกผลให้เรา
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อนะ
แต่อย่าลืมการเจริญสติไปวิเคราะห์การเกิดการดับของใจ ว่าทำไมใจถึงเกิด หรือว่าวิญญาณในกายของเราเขาเกิดมาหลายภพหลายชาติ เกิดมานาน เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรม เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปสังเกตจนเขาคลายออกจากความหลง จนเขาคลายออกจากขันธ์ห้าซึ่งเรียกว่า แยกรูปแยกนาม คลายยังไม่พอนะ ต้องดับความเกิดอีก
การเกิดนั่นแหละคือความหลง ถ้าไม่หลงไม่เกิด แต่เขาหลงมาเกิดอยู่ในภพของมนุษย์ มาสร้างกายเนื้อ มาสร้างขันธ์ห้าปกปิดเอาไว้ เราก็ต้องเจริญสติเข้าไปคลาย เข้าไปอบรม แล้วก็สร้างอานิสงส์ สร้างบุญ สร้างบารมี ขัดเกลา เขาหลงมานาน เขาเกิดความโลภ ความโกรธ เกิดความทะเยอทะยานอยาก เกิดความยินดียินร้าย ทั้งผลักไส ทั้งดึงเข้ามา สารพัดอย่าง วิญญาณเขาเกิด เราต้องเจริญสติเข้าไปอบรมแก้ไข พิจารณา ชี้เหตุชี้ผลตามแนวทางของพระพุทธองค์ ว่าพระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องชีวิตนี่แหละ ไม่ได้สอนเรื่องอะไร
พระเราก็เหมือนกัน ชีเราก็เหมือนกัน มีโอกาสมาก อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาสํารวจใจสํารวจกาย อะไรภาระหน้าที่การงาน อะไรงานก่อน งานหลัง งานปัจจุบัน ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ส่วนตัวประโยชน์ส่วนรวมประโยชน์ส่วนตัวนี้กําจัดออกไป ให้เหลือแต่ประโยชน์ส่วนรวม แต่เราก็พลอยได้รับอานิสงส์ในสิ่งที่พวกเราทำ ต้องพยายามกัน
ประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่มีบุญ ได้เกิดมามีพระพุทธศาสนาเป็นหลักชัยให้ ทุกศาสนาก็ดีหมดๆ แต่พุทธศาสนานี่จะมีสิ่งที่สูงกว่าเพื่อนอยู่ หลักของอนัตตา หลักของอนัตตา การปล่อย การวาง ความว่าง ความบริสุทธิ์ ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี แต่คนไม่เข้าใจก็ไปเอาศาสนาไปโต้แย้งกันไปเถียงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็เลยแทนที่จะมีความสุข กลับมีแต่ความทุกข์ แทนที่จะเอาไปแก้ไข ปรับปรุงตัวเราให้ถึงจุดหมาย
ศาสนาอยู่ที่ใจของเรา อยู่ที่กายของเรา อยู่ที่กาย วาจา แล้วก็อยู่ที่ใจของเรา จบอยู่ที่ใจของเรา ไม่ต้องไปวุ่นวายอะไร บ้างก็เอาไปโตแย้งกัน เถียงกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ ใจของเรามีความสงบ บริหารด้วยปัญญา แก้ไขด้วยปัญญา
คนทั่วไปถึงห่างไกลๆ จะไปแก้ไขเอาตั้งแต่ทางด้านนอก แก้ไขเอาแต่เฉพาะทางรูปธรรม ไม่แก้ไขพื้นฐานภายในเสียก่อนให้จบ ก็เลยทะเลาะเบาะแว้งกัน บ้านเมืองก็เลยทะเลาะเบาะแว้งกัน ศาสนาไม่เสื่อม ศาสนาอยู่ที่ใจ คําสอนมีอยู่ เราก็ปฏิบัติตามให้ปรากฏขึ้นที่ใจ หมดความสงสัย หมดความลังเล
แต่เวลานี้กําลังสติมีน้อย กําลังสติแทบไม่ได้เจริญเลย แทบไม่ได้สร้างเลย เพราะว่าปัญญาเก่า ปัญญาโลกีย์ ถึงใจจะเป็นบุญอยู่ แต่ก็ยังเป็นปัญญาโลกีย์อยู่ ยังแยกไม่ได้ ยังคลายไม่ได้ ก็มองเห็นเฉพาะความถูกระดับของสมมติ คิดก็รู้ ทำก็รู้ ก็หลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่ เพราะว่าไม่ได้เจริญสติตัวใหม่ เพราะว่าใจเป็นธาตุรู้ จิตเขาก็รู้ ธรรมเขาก็รู้ ใจเขาเป็นธาตุรู้ ทั้งที่เขาก็ยังรู้อยู่ในความหลงอยู่ เพราะว่าเขายังหลงเกิด หลงรวมมาสร้างขันธ์ห้ามาปิดกั้นตัวเองเอาไว้อยู่ แล้วก็หลงเป็นทาสของกิเลสอีก
หลวงพ่อถึงพาขัดเกลากิเลส ด้วยการพากันสร้างบุญสร้างบารมีนี่แหละ เรามีโอกาสได้มาสร้างมาทำ เปิดโอกาสให้กับทุกคน ฝากเอาไว้ในแผ่นดิน ฝากเอาไว้กับสมมติของเรา แต่งานภายใน งานชําระกิเลส เราต้องจัดการกับตัวของเรา ใจเกิดกิเลสความอยากแม้แต่นิดเดียว ก็อย่าให้เกิด ดับความเกิด ใจไม่เกิด มันก็ไม่มีกิเลส
เดี๋ยวนี้ปัญญาที่เกิดจากใจ เกิดจากขันธ์ห้าเขามีมาเดิม เราต้องมาเจริญสติเข้าไปอบรม ชี้เหตุชี้ผล ตามดูเหตุตามดูผล ดับความเกิดของใจ ก่อนที่จะดับความเกิดของใจนั้นต้องคลายความหลง หรือว่าแยกรูปแยกนาม แล้วก็ละกิเลสที่ใจ แล้วก็ดับความเกิดของใจ หนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทน ด้วยปัญญาล้วนๆ ถึงจะมีความสุข ได้บ้างไม่ได้บ้างก็อย่าพากันทิ้ง ให้พากันทำ ให้สํารวจใจตั้งแต่ตื่นขึ้นมา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน
อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา อย่าไปปิดกั้นตัวเราเอง เรามีโอกาสมากมายมหาศาล ทุกหายใจเข้าออก เพียงแค่เรามาปรับความคิดเห็นให้ถูกให้ตรง แล้วก็ขัดเกลากิเลส แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบมานานแล้ว การเจริญสติ การแยกรูปแยกนาม หลักของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า หลักของอริยสัจความจริงอันประเสริฐอยู่ในกายของเราหมด ไม่ต้องไปถกเถียงกัน
คนทั่วไปแล้วปฏิบัติธรรมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แทนที่จะปฏิบัติขัดเกลาให้เหลือเป็นความเป็นเอกเป็นหนึ่ง คือความบริสุทธิ์ของใจด้วยปัญญา แก้ไขด้วยปัญญา ถ้าจะอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนก็อยู่ด้วยปัญญาให้คลายภายในให้มันได้เสียก่อน แล้วก็ขยันหมั่นเพียรด้วยเหตุด้วยผลด้วยสติด้วยปัญญายังประโยชน์สมมติให้เต็มเปี่ยม เราก็จะมีความสุขทั้งภายนอกทั้งภายใน ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ชีเราก็เหมือนกัน อยู่หลายคนหลายองค์ก็มีความสุขดี ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะว่าได้ยินข่าวทราบข่าวว่าผู้หญิงอยู่ 2 คนก็ไม่ถูกกัน อันนี้อยู่ตั้งหลายคนนะ หรือจับกันเป็นคู่ๆ ต่อยกัน ไม่ได้ คงไม่ได้ยินข่าวทั้งพระ ทั้งชี ทั้งโยมอย่าให้มีเรามาแก้ไขตัวเรา มาปรับปรุงตัวเรา มีข้อวัตรปฏิบัติในตัวเอง ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย หลวงพ่อเพียงแค่พูดให้ฟังเท่านั้นแหละ เพราะว่าสภาพร่างกายไม่แข็งแรง ตอนนี้อาศัยตั้งแต่วาจา พาพี่พาน้องทำบุญ สภาพร่างกายนี้ไม่รู้ว่าจะไปได้สักกี่วัน
ตั้งใจรับพรกัน ลืมไป ใครยังไม่ได้ไปชมสวนมะลิวัลย์ก็ไปเสียเด้อ เพราะว่าดอกไม้เต็มสวนไปหมดเลย เดี๋ยวดอกไม้มันร่วงเสียก่อน สวยงามมากทีเดียว หอมกรุ่นทั้งกลางวันทั้งกลางคืน
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน เราอย่าไปเอาความนึกคิดปรุงแต่งเก่าๆ ของเรามาโต้แย้ง มาขัดแย้ง เพียงแค่เรามาเจริญสติให้ต่อเนื่องเชื่อมโยงให้ได้เสียก่อน ตรงนี้แหละสำคัญ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราอย่าไปมองข้ามว่าความคิดเราก็มี สติปัญญาเราก็มี มันก็มีอยู่ระดับของโลกีย์ ของโลกๆ ถึงจะเก่งถึงขนาดไหน ใจก็ยังเกิดอยู่ ใจก็ยังหลงอยู่
ต้องมาเจริญสติเข้าไปชี้เหตุชี้ผล จนใจของเราคลายออกจากขันธ์ห้า หรือว่าแยกรูปแยกนาม ใจพลิกจากของที่คว่ำ หงายขึ้นมา แล้วก็ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี้ เราตามดูตามรู้ตามเห็น ชี้เหตุชี้ผลจนใจยอมรับความเป็นจริง ว่าไม่มีสารประโยชน์แก่นสารอะไร แล้วก็ค่อยละ เราก็ละกิเลส เราก็ดับความเกิดของใจ หนุนกําลังสติปัญญาไปเกิดแทน เห็นเหตุเห็นผล ของดีอยู่ในกายของเราหมด ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่กายของเรา ตื่นขึ้นมาความขยันหมั่นเพียรของเรามีเพียงพอหรือไม่ ศรัทธาของเรามีความเชื่อมั่น อย่าไปเชื่อแบบหลงงมงาย ต้องเชื่อด้วย รู้ด้วย เห็นด้วย ทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วก็ละให้มันได้ด้วย มันถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ อย่าไปกังวลกับสิ่งต่างๆ
คําสอนของพระพุทธองค์ตั้งเอาไว้ให้เราปฏิบัติตาม การละกิเลสเป็นอย่างนี้ กิเลสหยาบเป็นอย่างนี้ กิเลสละเอียดเป็นอย่างนี้ ทำให้ปรากฏขึ้นที่ใจ ให้รู้ให้เห็น หมดความสงสัย อยู่ด้วยปัญญา มีความสุข ทำไมเราถึงมีไม่เพียบพร้อม เราขาดตกบกพร่องอะไร ความขยันหมั่นเพียรของเรามีหรือไม่ ความรับผิดชอบของเรามีหรือไม่ เวลาแต่ละทุกลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร ทุกขณะจิตเป็นอย่างไร ทุกขณะลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร จนสติที่เราสร้างขึ้นมา จนกลายเป็นมหาสติ จากมหาสติแยกใจออกจากขันธ์ห้าได้ ตามดูได้ก็จะกลายเป็นมหาสติ กลายเป็นมหาปัญญา จากมหาปัญญาค้นคว้าได้หมด แล้วก็จะกลายเป็นปัญญา ปัญญาอยู่เหนือปัญญา เราก็ต้องพยายามดูรู้ ทำความเข้าใจ
ใหม่ๆ ก็อาจจะฟังไม่รู้เรื่อง นอกจากบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร การเจริญสติเป็นอย่างนี้ การดับ การควบคุมเป็นอย่างนี้ กายวิเวกเป็นอย่างนี้ ใจวิเวกเป็นอย่างนี้ เรารู้จักวิธีแล้วรู้จักแนวทางแล้ว เรารู้จักตัวใจของเรา เราก็จัดการกับตัวใจของเราให้มันได้ ก็ต้องพยายามนะ ไม่ว่าพระ ว่าโยม ว่าชี ทุกคนก็ปรารถนาที่จะหาทางดับทุกข์ ทุกคนก็ปรารถนาที่จะถึงจุดหมายปลายทางกัน บางคนก็ถึงช้า บางคนก็ถึงเร็ว แต่เราก็อย่าไปเกียจคร้าน พยายามขยันหมั่นเพียร สร้างอานิสงส์ให้มีให้เกิดขึ้นที่ใจของเรา จะส่งผลถึงวันข้างหน้า จะทำปุ๊บให้ได้ปั๊บ มันก็เป็นไปไม่ได้หรอก
เพราะว่าการเกิดของจิตวิญญาณนี่เขาเกิดมาตั้งนาน จะไปแก้ไขเขาก็ต้องมีเหตุมีผล แล้วก็ต้องขยันหมั่นเพียร สร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมี ขัดเกลา เอาออก ให้ใจของเรามันคลายออกทีละเล็กทีละน้อย ใจของเรามีความอยาก เราก็ละความอยาก ใจของเราเกิดความโลภ เราก็ละความโลภ ทำในสิ่งตรงกันข้าม ใจของเรามีความแข็งกระด้าง เราก็พยายามปรับความแข็งกระด้าง ให้มีความอ่อนโยนใจของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่นหรือว่าใจของเราขาดความกตัญญู เราก็ต้องพยายามสร้างให้มา มองโลกในทางที่ดี คิดดี สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน เดินไม่ถึงในวันนี้ก็พรุ่งนี้ก็ต้องถึง ถ้าไม่ถึงพรุ่งนี้ก็เดือนหน้า ปีหน้า ไม่ถึงจริงๆ ไปต่อเอาภพหน้า กายเนื้อแตกดับ จิตวิญญาณยังเหลือเขาต้องไปต่อ เราก็ต้องพยายาม พยายามสร้างเอา สิ่งพวกนี้บังคับกันไม่ได้ เหมือนกับปลูกผลหมากรากไม้ เราจะเร่งออกดอก ออกผล วันเดียวก็ไม่ได้ เราต้องหมั่นดูแล ถึงเวลาเขาก็ออกดอกออกผลให้เรา
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันนะ
พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อนะ