หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 017
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 017
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความระลึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราให้ชัดเจน ความรู้ตัว รู้สัมผัส รู้มีความรู้สึกรับรู้สัมผัสทางลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่อง หยุดดับความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ ถึงเราละไม่ได้ขอให้หยุด ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2 – 3 เที่ยวแล้วก็หายใจปกติ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ คือความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากตัวใจก็จะหยุด ความรู้สึกรับรู้เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็ชัดเจน นี่แหละเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ มีความรู้สึกรับรู้เวลาหายใจเข้าหายใจออกให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ไม่ใช่ว่าเราไปนึกเอาคิดเอา การนึกการคิดนั้นเป็นปัญญาของโลกิยะ เป็นปัญญาที่เกิดจากตัวจิตหรือว่าตัววิญญาณกับอาการของวิญญาณ
เราถึงมาสร้างผู้รู้ตัวใหม่เข้าไปรู้ รู้กายของเรา ลึกลงไปก็รู้ใจ รู้ฐานของใจ เรารู้ไม่เท่าทันการเกิดของใจเราก็ใช้สมถะดับ กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกใหม่ให้เกิดความเคยชิน เวลานี้เพียงแค่การเจริญสติการสร้างความรู้ตัวพวกเรายังไม่ค่อยจะสนใจกัน ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ อยากจะได้บุญอยากจะทำบุญ อยากจะรู้ธรรมอยากจะเห็นธรรม ความอยากนั่นแหละปิดกั้นเอาไว้หมดนั่นแหละ เพียงแค่อยากจะรู้ธรรม อยากจะทำบุญอยากโน่นอยากนี่เขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ ตัววิญญาณเขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดอีกก็มาปิดกั้นตัวของวิญญาณเอาไว้
ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวเข้าไปหัดสังเกต เป็นคนช่างสังเกตเป็นคนช่างวิเคราะห์ ความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ความปกติของใจเป็นลักษณะอย่างนี้นะ เวลาใจเกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ จนกว่าใจจะคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นั่นแหละ ใจก็จะว่างกายก็จะเบา ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาก็จะตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า
เกิดอดีตเขาก็เรียกว่าเรื่องเขาเรียกว่าสัญญา การปรุงแต่งของใจของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับเขาเรียกว่า ‘ปฏิจจสมุปบาท’ เห็นการเกิดการดับ ตามดูรู้ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ใจของเราก็ว่างรับรู้อยู่ นั่นแหละเราก็จะเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า เห็นความจริงรู้ลักษณะของความเป็นจริงทุกเรื่องที่เกิด
ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ หรือว่าใจของเราเกิดความอยากเราก็รู้จักดับ เราละกิเลสได้ระดับไหน ระดับต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ละกิเลสหยาบละกิเลสละเอียดได้ อันนั้นก็จะตามมาหมด ถ้าเรามีความรู้ตัวรู้เท่าทันใจของเรา อันนี้เป็นเรื่องของทุกคนเลยนะ ที่จะต้องหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต หมั่นสำรวจหมั่นทำความเข้าใจ
อย่าไปปล่อยปละละเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่ทำการทำงาน อยู่ไร่อยู่นา มีความคิดเกิดขึ้นขณะนี้ เราก็ดับขณะนี้ เราต้องรู้ให้ชัดเจนว่า ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่ต่อเนื่องหรือไม่ ถ้าต่อเนื่องแล้ว เรารู้เท่าทันการเกิดของจิตของวิญญาณหรือไม่ เป็นเรื่องของทุกคนเลย การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดก็ต้องตามมาอีก
ทุกคนก็มีบุญที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็มีบุญที่ได้มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนาด้วย ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านความร้อนความหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข ระดับของโลกิยของสมมติ ยังสมมติ บางคนบางท่านสมมติก็บริบูรณ์ บางคนบางท่านสมมติก็ยังขาดๆ ตกๆ บกพร่อง ก็พยายามแก้ไขพยายามสำรวจตรวจตราดูตัวเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความรับผิดชอบ เรารู้จักบริหารภาระหน้าที่สมมติ บริหารกายบริหารใจของเราให้ถูกต้องหรือไม่ หรือว่ามีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก ท่านให้ละ ในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก ละความอยากละความหวัง
แต่การกระทำ ความขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผลให้เต็มเปี่ยมทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็จะมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไร กายเนื้อของเราเป็นอย่างไร กายเนื้อของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณมาอาศัยกายเนื้ออยู่ ไม่อาศัยหรอกเขาก็สร้างขึ้นมาเลย เขาสร้างกายเนื้อขึ้นมาแล้วก็มาอาศัยอยู่ หูตาจมูกลิ้นกายก็จะเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงส่งเข้าไปถึงตัววิญญาณของเรา
แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดความอยาก อยากหรือว่าความยินดียินร้ายในรูปรสกลิ่นเสียง ใจของเราปรุงแต่งอย่างไร เราก็ต้องหัดวิเคราะห์กันนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกคนเกิดมาก็เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนกันแก่เจ็บตายด้วยกันหมด อยู่ใกล้อยู่ไกลก็เลยมาร่วมกัน เพราะเราเคยมีอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีมาร่วมกัน ถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ได้มาทำบุญให้ทานร่วมกัน มาอยู่ในสถานที่เดียวกัน เราเคยสร้างบุญร่วมกันมาถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ก็ต้องพยายามขัดเกลาตัวเราแก้ไขตัวเรา มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ บางคนบางท่านก็ไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านก็ลำบากอยู่ เราก็ต้องแก้ไขค่อยแก้ไขกันไป
มีโอกาสทำงานไปด้วย ดูใจไปด้วยวิเคราะห์ใจไปด้วย มีความสุข เอาการงานเป็นการปฏิบัติ ขยันมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ที่ทำการทำงาน อยู่ไร่อยู่นา เราก็มีความรับผิดชอบ เป็นคนที่มีความเสียสละ ถ้าไม่มีความเสียสละก็ยากที่จะทำได้ เสียสละภาระหน้าที่การงานเราก็เสียสละมา ที่นี้เสียสละกิเลสออกจากใจของเราอีก จนไล่ลงไปจนใจของเราถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นนั้นแหละ เราก็ต้องพยายามกัน
ไอ้เรื่องการอยู่การกิน อาหารการขบฉันการรับประทานก็ช่วยกันนะ สร้างโรงครัวเราก็ช่วยกัน แม่ครัวเราก็ช่วยกัน ช่วยกันทำช่วยกันทำอย่าไปเกี่ยงงอน อย่าไปกังวลว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ มีอะไรเราก็ให้ช่วยกันทำ ให้ถือเสียว่าขณะนี้เราอยู่บ้านของเรา เราปัดกวาดบ้านของเรา ภายนอกเราก็ทำความสะอาด ความเป็นระเบียบภายในเราก็หัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข ไม่เห็นแก่ตัว มีตั้งแต่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งภายนอกทั้งภายใน สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
เอาล่ะ วันนี้เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ
การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ คือความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากตัวใจก็จะหยุด ความรู้สึกรับรู้เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกของเราก็ชัดเจน นี่แหละเรียกว่า ‘สติรู้กาย’ มีความรู้สึกรับรู้เวลาหายใจเข้าหายใจออกให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ไม่ใช่ว่าเราไปนึกเอาคิดเอา การนึกการคิดนั้นเป็นปัญญาของโลกิยะ เป็นปัญญาที่เกิดจากตัวจิตหรือว่าตัววิญญาณกับอาการของวิญญาณ
เราถึงมาสร้างผู้รู้ตัวใหม่เข้าไปรู้ รู้กายของเรา ลึกลงไปก็รู้ใจ รู้ฐานของใจ เรารู้ไม่เท่าทันการเกิดของใจเราก็ใช้สมถะดับ กระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่การหายใจเข้าออกใหม่ให้เกิดความเคยชิน เวลานี้เพียงแค่การเจริญสติการสร้างความรู้ตัวพวกเรายังไม่ค่อยจะสนใจกัน ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ อยากจะได้บุญอยากจะทำบุญ อยากจะรู้ธรรมอยากจะเห็นธรรม ความอยากนั่นแหละปิดกั้นเอาไว้หมดนั่นแหละ เพียงแค่อยากจะรู้ธรรม อยากจะทำบุญอยากโน่นอยากนี่เขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ ตัววิญญาณเขาก็ปิดกั้นตัวของเขาเอาไว้ ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิดอีกก็มาปิดกั้นตัวของวิญญาณเอาไว้
ถ้าเรามาสร้างความรู้ตัวเข้าไปหัดสังเกต เป็นคนช่างสังเกตเป็นคนช่างวิเคราะห์ ความรู้ตัวเป็นลักษณะอย่างนี้นะ ความปกติของใจเป็นลักษณะอย่างนี้นะ เวลาใจเกิดเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะอย่างนี้ จนกว่าใจจะคลายออกจากความคิดออกจากอารมณ์ซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ นั่นแหละ ใจก็จะว่างกายก็จะเบา ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมาก็จะตามเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า
เกิดอดีตเขาก็เรียกว่าเรื่องเขาเรียกว่าสัญญา การปรุงแต่งของใจของขันธ์ห้า เห็นการเกิดการดับเขาเรียกว่า ‘ปฏิจจสมุปบาท’ เห็นการเกิดการดับ ตามดูรู้ตั้งแต่ต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ใจของเราก็ว่างรับรู้อยู่ นั่นแหละเราก็จะเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า เห็นความจริงรู้ลักษณะของความเป็นจริงทุกเรื่องที่เกิด
ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ หรือว่าใจของเราเกิดความอยากเราก็รู้จักดับ เราละกิเลสได้ระดับไหน ระดับต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ละกิเลสหยาบละกิเลสละเอียดได้ อันนั้นก็จะตามมาหมด ถ้าเรามีความรู้ตัวรู้เท่าทันใจของเรา อันนี้เป็นเรื่องของทุกคนเลยนะ ที่จะต้องหมั่นวิเคราะห์หมั่นสังเกต หมั่นสำรวจหมั่นทำความเข้าใจ
อย่าไปปล่อยปละละเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่ทำการทำงาน อยู่ไร่อยู่นา มีความคิดเกิดขึ้นขณะนี้ เราก็ดับขณะนี้ เราต้องรู้ให้ชัดเจนว่า ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่ต่อเนื่องหรือไม่ ถ้าต่อเนื่องแล้ว เรารู้เท่าทันการเกิดของจิตของวิญญาณหรือไม่ เป็นเรื่องของทุกคนเลย การละกิเลสหยาบกิเลสละเอียดก็ต้องตามมาอีก
ทุกคนก็มีบุญที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็มีบุญที่ได้มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนาด้วย ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านความร้อนความหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข ระดับของโลกิยของสมมติ ยังสมมติ บางคนบางท่านสมมติก็บริบูรณ์ บางคนบางท่านสมมติก็ยังขาดๆ ตกๆ บกพร่อง ก็พยายามแก้ไขพยายามสำรวจตรวจตราดูตัวเรา แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรามีความรับผิดชอบ เรารู้จักบริหารภาระหน้าที่สมมติ บริหารกายบริหารใจของเราให้ถูกต้องหรือไม่ หรือว่ามีตั้งแต่ความทะเยอทะยานอยาก ท่านให้ละ ในหลักธรรมท่านให้ละความอยาก ละความอยากละความหวัง
แต่การกระทำ ความขยันหมั่นเพียรด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยเหตุด้วยผลให้เต็มเปี่ยมทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็จะมองเห็นหนทางเดินว่าเราจะไปอย่างไร กายเนื้อของเราเป็นอย่างไร กายเนื้อของเราทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณมาอาศัยกายเนื้ออยู่ ไม่อาศัยหรอกเขาก็สร้างขึ้นมาเลย เขาสร้างกายเนื้อขึ้นมาแล้วก็มาอาศัยอยู่ หูตาจมูกลิ้นกายก็จะเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียงส่งเข้าไปถึงตัววิญญาณของเรา
แต่ละวันตื่นขึ้นมาใจของเราเกิดความอยาก อยากหรือว่าความยินดียินร้ายในรูปรสกลิ่นเสียง ใจของเราปรุงแต่งอย่างไร เราก็ต้องหัดวิเคราะห์กันนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี ทุกคนเกิดมาก็เป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อนกันแก่เจ็บตายด้วยกันหมด อยู่ใกล้อยู่ไกลก็เลยมาร่วมกัน เพราะเราเคยมีอานิสงส์สร้างบุญสร้างบารมีมาร่วมกัน ถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ได้มาทำบุญให้ทานร่วมกัน มาอยู่ในสถานที่เดียวกัน เราเคยสร้างบุญร่วมกันมาถึงได้มาอยู่ร่วมกัน ก็ต้องพยายามขัดเกลาตัวเราแก้ไขตัวเรา มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ บางคนบางท่านก็ไม่ได้ลำบาก บางคนบางท่านก็ลำบากอยู่ เราก็ต้องแก้ไขค่อยแก้ไขกันไป
มีโอกาสทำงานไปด้วย ดูใจไปด้วยวิเคราะห์ใจไปด้วย มีความสุข เอาการงานเป็นการปฏิบัติ ขยันมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ที่ทำการทำงาน อยู่ไร่อยู่นา เราก็มีความรับผิดชอบ เป็นคนที่มีความเสียสละ ถ้าไม่มีความเสียสละก็ยากที่จะทำได้ เสียสละภาระหน้าที่การงานเราก็เสียสละมา ที่นี้เสียสละกิเลสออกจากใจของเราอีก จนไล่ลงไปจนใจของเราถึงความสะอาดความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้นนั้นแหละ เราก็ต้องพยายามกัน
ไอ้เรื่องการอยู่การกิน อาหารการขบฉันการรับประทานก็ช่วยกันนะ สร้างโรงครัวเราก็ช่วยกัน แม่ครัวเราก็ช่วยกัน ช่วยกันทำช่วยกันทำอย่าไปเกี่ยงงอน อย่าไปกังวลว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ มีอะไรเราก็ให้ช่วยกันทำ ให้ถือเสียว่าขณะนี้เราอยู่บ้านของเรา เราปัดกวาดบ้านของเรา ภายนอกเราก็ทำความสะอาด ความเป็นระเบียบภายในเราก็หัดสังเกตหัดวิเคราะห์ ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีความสุข ไม่เห็นแก่ตัว มีตั้งแต่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งภายนอกทั้งภายใน สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมายปลายทางกัน
เอาล่ะ วันนี้เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันนะ