หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 046
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555 ลำดับที่ 046
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2555
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจนให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง นั่งตามสบายวางกายให้สบายแล้วก็วางใจให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ เอาไว้ชั่วครั้งชั่วคราว ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยว
แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจ ความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าเป็นอย่างไร ความรู้สึกรับรู้การหายใจออกเป็นอย่างไร หายใจยาวเป็นอย่างไร หายใจสั้นเป็นอย่างไร อันนี้เป็นแค่เพียงอุบายให้มีสติรู้กายเท่านั้นเอง พวกเรายังไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง ถ้าเราสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง แล้วก็พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ถึงจะรู้ว่าตัวเราขาดสติ เราจะไปนึกไปคิดเอานั่นแหละ แล้วก็ไปมั่นหมายเอาความคิด ความนึกคิดปรุงแต่งนั่นแหละว่าเป็นสติปัญญา แต่ก็เป็นสติปัญญาของโลกิยะ ไม่ใช่สติปัญญาที่จะเข้าไปคลายทุกข์ที่จิตเข้าไปรู้จิต เข้าไปทำความเข้าใจกับกายกับวิญญาณของเรา
ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ทำให้ต่อเนื่องแล้วรู้จักเอาไปใช้ รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงเป็นทาสของกิเลส ทำไมใจของของเราถึงทะเยอทะยานอยาก ทำไมใจของเราถึงหลงความคิดหลงอารมณ์ หลงในขันธ์ห้าของตัวเราเอง
นี่แหละ ความรู้ตัวนี่แหละถ้ารู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ ไปค้นคว้า ไปหมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา จนใจของเราคลายออกซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ เพียงแค่แยกรูปแยกนามนั้นเพียงแค่เริ่มต้นของปัญญาที่ถูกต้อง แต่ศรัทธาบารมีนั้นทุกคน บางคนบางท่านก็สร้างมาดี บางคนบางท่านก็สร้างมาจนเต็ม แต่ขาดการจำแนกแจกแจงใจก็เลยเกิดอยู่อย่างนั้น อาจจะเกิดอยู่ในกองบุญกองกุศล อาจจะยึดบ้างไม่ยึดบ้าง เพียงแค่การเกิดนั้นเขาก็หลงนะ ในหลักธรรม
ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด เดี๋ยวนี้ทั้งเกิด เขาเกิดมาตั้งนานจนเกิดความเคยชิน ทั้งเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส เราจะมาเจริญสติเข้าไปจัดการแค่นาทีสองนาทีเป็นไปไม่ได้ เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา หมั่นหาเหตุหาผล รู้เห็นตามความเป็นจริง หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเราเองตลอดเวลา แล้วก็หมั่นละกิเลสออกจากใจของเรา
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณทำหน้าที่อย่างไร ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก บุคคลที่มีสติมีปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วจะวิเคราะห์ตัว แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนหมดความสงสัยหมดความลังเล ไม่ต้องไปถามหาที่ไหนเลย สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเราตลอดเวลา ไม่ต้องไปวิ่งหาครูบาอาจารย์ที่ไหน
แนวทางมีอยู่ พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การดับการละเป็นลักษณะอย่างนี้นะ การแยกการคลาย การตามดูตามรู้ตามเห็นเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจรับรู้เป็นลักษณะอย่างนี้ ลักษณะของใจที่ว่าง ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะนี้ ลักษณะของสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เราเอาไปประหัตประหารกิเลสเป็นลักษณะนี้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด อาการกายหงุดหงิดใจหงุดหงิด มีหมดอยู่ในกายของเรา เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะวิเคราะห์ให้ถึงพริกถึงขิงถึงแก่นหรือไม่เท่านั้นเอง
ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน เราสอนตัวเองแก้ไขตัวเอง ขอให้เรารู้ชัดเจนว่าลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร การเกิดการดับ ฐานของใจเป็นอย่างไร อาการของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งใจเป็นอย่างไร รู้ไม่ทันเราก็ใช้สมถะดับ หยุดอยู่กับลมหายใจบ้างหรือว่าหยุดอยู่กับการเดินบ้างเขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ดับขณะที่เขาเกิดนั่นแหละ ไม่ใช่ว่านั่งหลับตาแล้วเป็นสมถะ บางทีก็นั่งคิดสารพัดอย่างเป็นวิปัสสนึก จะไปนั่งวิปัสสนาที่โน่นนั่งวิปัสสนามันไปนั่งวิปัสสนึกทั้งนั้นแหละ สติไม่ได้สร้างสติยังไม่รู้จัก กิเลสก็เลยยังไม่รู้จักละ
ยืนเดินนั่ นอน ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ให้ใจของเราสงบสงบอยู่ในทุกอิริยาบถ สงบขณะที่ตากระทบรูป สงบขณะที่หูกระทบเสียง ขณะที่ทำการทำงาน สงบขณะที่พูดอยู่นี่แหละ ขณะที่ฟังอยู่นี่ สงบจากกิเลส สงบจากความยึดมั่นถือมั่น สงบจากการเกิด คลายวางรู้เห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่สงบแบบบังคับเอาไว้ ต้องสงบแบบรู้เห็นตามความเป็นจริง ละกิเลสออกจากใจของเรา ให้สงบเป็นธรรมชาติที่สุดนั่นแหละ ใจที่ไม่มีกิเลสใจที่ไม่เกิด ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็ว่าง ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง มันเป็นอย่างนั้น
ถ้าเราไม่เอาจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าถึงตรงนั้น เพราะว่าใจของคนเราเร็วไวกลับกลอก ถ้าไม่หมั่นพร่ำสอนหาเหตุหาผล รู้เห็นเหตุเห็นผล ค้นคว้าให้เขายอมรับความเป็นจริง ขัดเกลาเขาจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ยอมเราง่ายๆ เหมือนกัน เพราะเขาเกิดมาตั้งนาน เขาเป็นมิตรกับขันธ์ห้ามาตั้งนาน เขาเป็นทาสของกิเลสมาตั้งนานหลายภพหลายกัปหลายกัลป์ ถ้าจะเอาจริงๆ แล้วให้ถึงจุดหมายปลายทางแล้วเขาก็ยอมเหมือนกัน เรื่องจิตเรื่องวิญญาณเขาก็ยอม ยอมจำนนอยู่ในอำนาจของสติปัญญาของเรา เราก็ต้องพยายาม ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี หลวงพ่อก็เพียงได้แค่พูดให้ฟัง โอกาสในการสร้างบุญสร้างกุศล ทุกอย่างหลวงพ่อก็พาทำทั้งภายนอกทั้งภายใน เราก็แก้ไขตัวเรา ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออกพวกเราก็ขาดการสนใจ ความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าเป็นอย่างไร ความรู้สึกรับรู้การหายใจออกเป็นอย่างไร หายใจยาวเป็นอย่างไร หายใจสั้นเป็นอย่างไร อันนี้เป็นแค่เพียงอุบายให้มีสติรู้กายเท่านั้นเอง พวกเรายังไม่ได้เจริญสติให้ต่อเนื่อง ถ้าเราสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง แล้วก็พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ถึงจะรู้ว่าตัวเราขาดสติ เราจะไปนึกไปคิดเอานั่นแหละ แล้วก็ไปมั่นหมายเอาความคิด ความนึกคิดปรุงแต่งนั่นแหละว่าเป็นสติปัญญา แต่ก็เป็นสติปัญญาของโลกิยะ ไม่ใช่สติปัญญาที่จะเข้าไปคลายทุกข์ที่จิตเข้าไปรู้จิต เข้าไปทำความเข้าใจกับกายกับวิญญาณของเรา
ความรู้ตัวที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละ ทำให้ต่อเนื่องแล้วรู้จักเอาไปใช้ รู้ลักษณะของจิต รู้ลักษณะของใจ ใจที่ปกติเป็นอย่างไร ใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ทำไมใจของเราถึงเกิด ทำไมใจของเราถึงเป็นทาสของกิเลส ทำไมใจของของเราถึงทะเยอทะยานอยาก ทำไมใจของเราถึงหลงความคิดหลงอารมณ์ หลงในขันธ์ห้าของตัวเราเอง
นี่แหละ ความรู้ตัวนี่แหละถ้ารู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักเอาไปใช้ ไปค้นคว้า ไปหมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา จนใจของเราคลายออกซึ่งเรียกว่า ‘แยกรูปแยกนาม’ เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ เพียงแค่แยกรูปแยกนามนั้นเพียงแค่เริ่มต้นของปัญญาที่ถูกต้อง แต่ศรัทธาบารมีนั้นทุกคน บางคนบางท่านก็สร้างมาดี บางคนบางท่านก็สร้างมาจนเต็ม แต่ขาดการจำแนกแจกแจงใจก็เลยเกิดอยู่อย่างนั้น อาจจะเกิดอยู่ในกองบุญกองกุศล อาจจะยึดบ้างไม่ยึดบ้าง เพียงแค่การเกิดนั้นเขาก็หลงนะ ในหลักธรรม
ถ้าไม่หลงเขาก็ไม่เกิด เดี๋ยวนี้ทั้งเกิด เขาเกิดมาตั้งนานจนเกิดความเคยชิน ทั้งเป็นทาสของอารมณ์ ทาสของกิเลส เราจะมาเจริญสติเข้าไปจัดการแค่นาทีสองนาทีเป็นไปไม่ได้ เราต้องพยายามหมั่นวิเคราะห์หมั่นพิจารณา หมั่นหาเหตุหาผล รู้เห็นตามความเป็นจริง หมั่นพร่ำสอนใจของตัวเราเองตลอดเวลา แล้วก็หมั่นละกิเลสออกจากใจของเรา
กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร วิญญาณทำหน้าที่อย่างไร ทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก บุคคลที่มีสติมีปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงแล้วจะวิเคราะห์ตัว แก้ไขตัวเราเองอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนหมดความสงสัยหมดความลังเล ไม่ต้องไปถามหาที่ไหนเลย สติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมานี่แหละเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบใจของเราตลอดเวลา ไม่ต้องไปวิ่งหาครูบาอาจารย์ที่ไหน
แนวทางมีอยู่ พระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผย การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การดับการละเป็นลักษณะอย่างนี้นะ การแยกการคลาย การตามดูตามรู้ตามเห็นเป็นลักษณะอย่างนี้ ใจรับรู้เป็นลักษณะอย่างนี้ ลักษณะของใจที่ว่าง ลักษณะของใจที่ปราศจากกิเลสเป็นลักษณะนี้ ลักษณะของสติปัญญาที่เราสร้างขึ้นมา เราเอาไปประหัตประหารกิเลสเป็นลักษณะนี้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด อาการกายหงุดหงิดใจหงุดหงิด มีหมดอยู่ในกายของเรา เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะวิเคราะห์ให้ถึงพริกถึงขิงถึงแก่นหรือไม่เท่านั้นเอง
ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวให้คนโน้นเขาสอนคนนี้เขาสอน เราสอนตัวเองแก้ไขตัวเอง ขอให้เรารู้ชัดเจนว่าลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันเป็นอย่างไร การเกิดการดับ ฐานของใจเป็นอย่างไร อาการของขันธ์ห้าที่มาปรุงแต่งใจเป็นอย่างไร รู้ไม่ทันเราก็ใช้สมถะดับ หยุดอยู่กับลมหายใจบ้างหรือว่าหยุดอยู่กับการเดินบ้างเขาเรียกว่า ‘สมถะ’ ดับขณะที่เขาเกิดนั่นแหละ ไม่ใช่ว่านั่งหลับตาแล้วเป็นสมถะ บางทีก็นั่งคิดสารพัดอย่างเป็นวิปัสสนึก จะไปนั่งวิปัสสนาที่โน่นนั่งวิปัสสนามันไปนั่งวิปัสสนึกทั้งนั้นแหละ สติไม่ได้สร้างสติยังไม่รู้จัก กิเลสก็เลยยังไม่รู้จักละ
ยืนเดินนั่ นอน ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ให้ใจของเราสงบสงบอยู่ในทุกอิริยาบถ สงบขณะที่ตากระทบรูป สงบขณะที่หูกระทบเสียง ขณะที่ทำการทำงาน สงบขณะที่พูดอยู่นี่แหละ ขณะที่ฟังอยู่นี่ สงบจากกิเลส สงบจากความยึดมั่นถือมั่น สงบจากการเกิด คลายวางรู้เห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่สงบแบบบังคับเอาไว้ ต้องสงบแบบรู้เห็นตามความเป็นจริง ละกิเลสออกจากใจของเรา ให้สงบเป็นธรรมชาติที่สุดนั่นแหละ ใจที่ไม่มีกิเลสใจที่ไม่เกิด ใจที่ไม่มีกิเลสเขาก็ว่าง ใจที่ไม่เกิดเขาก็นิ่ง มันเป็นอย่างนั้น
ถ้าเราไม่เอาจริงๆ ก็ยากที่จะเข้าถึงตรงนั้น เพราะว่าใจของคนเราเร็วไวกลับกลอก ถ้าไม่หมั่นพร่ำสอนหาเหตุหาผล รู้เห็นเหตุเห็นผล ค้นคว้าให้เขายอมรับความเป็นจริง ขัดเกลาเขาจริงๆ แล้วเขาก็ไม่ยอมเราง่ายๆ เหมือนกัน เพราะเขาเกิดมาตั้งนาน เขาเป็นมิตรกับขันธ์ห้ามาตั้งนาน เขาเป็นทาสของกิเลสมาตั้งนานหลายภพหลายกัปหลายกัลป์ ถ้าจะเอาจริงๆ แล้วให้ถึงจุดหมายปลายทางแล้วเขาก็ยอมเหมือนกัน เรื่องจิตเรื่องวิญญาณเขาก็ยอม ยอมจำนนอยู่ในอำนาจของสติปัญญาของเรา เราก็ต้องพยายาม ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี หลวงพ่อก็เพียงได้แค่พูดให้ฟัง โอกาสในการสร้างบุญสร้างกุศล ทุกอย่างหลวงพ่อก็พาทำทั้งภายนอกทั้งภายใน เราก็แก้ไขตัวเรา ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา