หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 024
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554 ลำดับที่ 024
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2554
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้ สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องให้ชัดเจน ตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัวแล้วหรือยัง ถ้ายังก็เริ่มเสียนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง สำเหนียก ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจ เสียงก็สักแต่ว่าเสียง แล้วก็มีความรู้สึกน้อมรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา
ถ้าใจของเรายังคิด ยังปรุงยังแต่งอยู่ เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ใจก็จะสงบระงับตั้งมั่นขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาจะสงบได้เลยทีเดียว เราต้องฝึก ต้องฝืน แล้วก็ทำความเข้าใจบ่อยๆ เจริญสติบ่อยๆ เข้าไปควบคุม เข้าไปดับ เข้าไปหยุด จนกว่ากำลังความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะรู้เวลาจิตเขาเกิด เขาเริ่มเกิด เขาเริ่มก่อตัว เราก็จะดับขณะช่วงเขาก่อตัว หยุดขณะช่วงเขาก่อตัว เขาก็จะนิ่ง เขาเกิดอีก เราก็ดับอีก หยุดอีก กำลังส่งเขาก็จะน้อยลง
บางทีบางครั้งความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดก็ผุดโผล่ขึ้นมา ให้เรา ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็วางตรงที่ปลายจมูกของเรา น้อมก็ไปรู้ว่าอาการของความคิดเขาเริ่มเกิดอย่างไร เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร ตัววิญญาณ หรือว่าตัวจิตเขาจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ขณะที่วิญญาณเคลื่อนเข้าไปรวมปุ๊บ ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ขณะนั้น รู้ตัวอยู่ปัจจุบันขณะนั้น ตัววิญญาณเขาจะดีดออกจากอาการของความคิดที่จะมาปรุงแต่ง
แล้วเขาก็จะหงายขึ้นมา เหมือนกับเราพลิกฝ่ามือ เหมือนกับฝ่ามือของเราคว่ำอยู่ ถ้าเราเห็นจิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด จิตก็จะพลิกก็จะหงาย จากหลังมือ จากฝ่ามือขึ้นมาเป็นข้างบน หลังมือก็อยู่ข้างล่าง และนี้เขาเรียกว่า ‘พลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ’ แต่ส่วนมากนั้นจิตของคนทั่วไปยังคว่ำอยู่ ยังไปรวมกับความคิดอยู่ เพียงแค่รู้ทันตรงนั้นปุ๊บ จิตพลิกปั๊บ จิตก็จะว่าง โล่ง โปร่ง กายก็จะเบาเหมือนกับไม่มีกาย ที่นี้เราก็ตามดูเห็นการเกิด ตามดูรู้เห็นการเกิดการดับของอาการของความคิด จิตว่างรับรู้ ว่าเป็นเรื่องอะไรที่มาปรุงแต่งจิต ถ้าความรู้ตัวของเราไม่แหลมคม ไม่เร็วไว ยากที่จะเข้าใจตรงนี้ นี่แหล่ะเกิดอัตตาตรงนี้ เกิดความหลงตรงนี้ จิตของเราหลง มาก่อร่างสร้างภพ มาสร้างร่างกาย สร้างรูป สร้างนามขึ้นมา ส่วนนามธรรม ส่วนมากจะไม่ค่อยจะสังเกตให้ลึกซึ้ง รู้แต่ว่าร่างกายเป็นรูปธรรม
เราต้องพยายามหัดสังเกต เพราะว่าจิตแต่ละดวงหลงมาถึงได้มาเกิด วิญญาณหลงมา แล้วก็มาก่อร่างสร้างตัวเป็นภพมนุษย์มาปิดกั้นอำพรางตัวเอง แม้แต่ตัวเขาก็ยังวิ่ง ยังหลง ยังเกิดอยู่ บางทีก็อาจจะเกิดอยู่ในกองบุญกองกุศล ละอกุศล เจริญกุศล ในหลักธรรมท่านให้ทำความเข้าใจให้หมด ละอกุศล เจริญกุศล แต่ไม่ให้ยึด ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ
เราจะทิ้งสมมติไม่ได้ เพราะว่าร่างกายของเราเป็นก้อนสมมติ นอกจากจะหมดวาระของเขา เขาหมดสภาพ หมดอายุขัยเขาก็จะแตกดับ กลับคืนสู่สภาพเดิม ดินน้ำลมไฟ ในเวลานี้เราจะไปแก้ไขกันเฉพาะทางด้านรูปธรรม ทางด้านนามธรรมไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ อาจจะสนใจกันแค่ครึ่งๆ กลางๆ ลุ่มๆ ดอนๆ เราต้องพยายามดำเนินให้ถึงต้นเหตุ ถอนรากถอนโคน แล้วก็ดับความเกิด คลายความหลงให้ได้ทุกเรื่อง ไม่เหลือวิสัย
ก็ต้องพยายามกันนะ พยายามทำความเพียรกัน เพียรที่นั่นบ้าง ทีนี่บ้าง ถ้าเราเข้าใจก็เพียรที่กายที่ใจของเรา ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ น้อมนำคำสอนของพระพุทธองค์มาประพฤติปฏิบัติ ทำความเข้าใจหลักของพรหมวิหาร ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเสียสละมี ความจริงใจมี สัจจะกับตัวเรา มีสัจจะต่อคนอื่น มองโลกในทางที่ดี คิดดี สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินเข้าถึงจุดหมายปลายทาง เราจงฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีระเบียบ ความมีระเบียบ ความมีวินัย ทั้งภายนอก ทั้งภายในนั่นแหละ คือความเป็นคนมีระเบียบ
มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้าเราไปปฏิบัติที่โน่นที่นี่ ถ้าเราไม่เข้าใจของความหมายของคำว่า ‘สติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน’ มันก็ปฏิบัติอยู่ในเพียงแค่รูปกาย ปฏิบัติอยู่ด้วยความหลง เราต้องพยายามเจริญสติให้ชัดเจน สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ใหม่ๆ ก็อาจจะพลั้งเผลอ บางทีก็อาจจะอึดอัด เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก บางทีเราก็เวลาจะทำความเข้าใจจริงๆ บางทีก็อึดอัด บางทีก็พลั้งเผลอ บางทีก็คันโน่นคันนี่ สารพัดอย่างที่กิเลสมารต่างๆ ก็จะมาฉุดมารั้งเอาไว้ กิเลสมารเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาโอกาส หาเวลามาปิดบังอำพราง เราเริ่มต้นเมื่อไหร่เขาก็เล่นงานเราเมื่อนั้นเราต้องพยายามฝึก พยายามฝืน ทั้งกายด้วย ทั้งใจด้วย กายด้วยใจด้วย แล้วก็แก้ไขภายนอกด้วย แก้ไขสมมติ โลกธรรมแปดเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราก็ต้องทำความเข้าใจ
บางคนบางท่าน แม้ตั้งแต่ระดับของสมมติก็ยังอีรุงตุงนังอยู่ มันก็ยากที่จะลึกเข้าไปถึงหัวใจได้เราก็ต้องคอยแก้จากภายนอก สมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว แล้วก็ลึกๆ ลงไป จัดระบบระเบียบของความคิด ของอารมณ์ จนเข้าถึงตัวใจ หรือว่าตัววิญญาณ ตัววิญญาณนี่ไม่มีอะไร มีแต่ความว่าง ในความว่างนั้นเขามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมนั่นแหละ แต่การศึกษาการค้นคว้าการทำความเข้าใจตรงนี้ ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร กำลังสติของเรารู้ได้ ได้ในระดับไหน เราต้องดู เพราะว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าเราไม่สนใจ ไม่สังเกต ไม่วิเคราะห์ เราก็รู้อยู่ในภาพรวม คิดก็รู้ทำก็รู้ เขาหลงอยู่ในกายก้อนนี้อยู่ เขาหลงอยู่ วิญญาณยังหลงอยู่ ถ้าเรามารู้ชัดเจน ตามดู ตามรู้ ตามเห็น หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ทุกเรื่อง อย่าให้ใจของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก แล้วก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก เกิดความยินดียินร้าย หรือส่งออกไปภายนอก หรือผลักไส หรือดึงเข้ามา หรือผลักไส ถ้าเราเข้าใจแล้ว จะเสริมเพิ่มกำลังใจของเราให้หนักแน่นรับรู้ ตื่นตัวรับรู้ไม่ให้เกิด นั่นแหละคือพุทธะ คือผู้รู้ คือดวงวิญญาณของเรานี้เป็นธาตุรู้
เรามาเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจกับธาตุรู้ แต่เวลานี้ใจของเรายังหลง ยังเกิด เขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน กว่าจะมาขัดมาเกลา แล้วก็หมั่นพร่ำสอนเขา แล้วก็รู้จักดับ รู้จักละ ให้เขารู้เห็นตามความเป็นจริง เขาถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้
ถ้าเขารู้ความจริงแล้ว การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา ไม่ต้องไปน้อยอกน้อยใจว่าเราจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้นคนนี้ จะเสียเปรียบคนโน้นคนนี้ คนนี้คนโน้นเขาพูดกับเราอย่างนั้น คนโน้นเขาก็ว่ากับเราอย่างนี้ สารพัดอย่างที่กิเลสมารต่างๆ จะมารบกวนเรา ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร สร้างอานิสงส์ สร้างบารมีอย่างเต็มที่เต็มเปี่ยม อยู่กับสมมติ อยู่กับโลก ไม่ให้โลกเข้าครอบงำ อยู่เหนือโลก ถึงกายจะไม่แตกไม่ดับ ก็ไม่ให้ใจของเราเข้าไปหลงเป็นทุกข์นั่นแหละ กายแตกดับนั่นแหละ เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดินขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน เราพยายามทำปัจจุบันให้แจ้ง ปัจจุบันธรรม ทำทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ตราบใดที่สติของเรายังสังเกตวิเคราะห์ไม่เท่าทัน จะพลั้งเผลอเสียมากกว่า เพราะว่าความเคยชิน ความคิดเก่า ปัญญาเก่าเข้ามาปกปิดเอาไว้ ความคิดเก่า ปัญญาเก่าไม่ใช่ว่าไม่ดี
ดี แต่ดีอยู่ในระดับของโลกียะ เราต้องพยายามทำปัญญาใหม่ สร้างปัญญาใหม่ซึ่งปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา หรือว่าเกิดจากการเจริญสติ เข้าไปจำแนกแจกแจง ในกายก้อนนี้มีอะไรบ้าง เหมือนกับเชือกมีอยู่ห้าเกลียว เราต้องรู้ว่าเกลียวไหนเป็นเกลียวไหน กายของเราก็เหมือนกัน เราต้องรู้ว่ากายของเรามีอะไรบ้าง มีตัวมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ซึ่งมีทวารทั้งหกเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง มันก็ไม่เหลือวิสัย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสมากกิเลสน้อย เราก็พยายามขัดเกลากันไปนะ พยายามอย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ภายนอกเราก็ทำให้ดี สมมติเราก็ยังสมมติของเราให้ดี ยิ่งมาอยู่ร่วมกันมากๆ ทั้งใกล้ทั้งไกลก็ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี รับผิดชอบตัวเรา รับผิดชอบตัวเราก็ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่สังคม
พระเราชีเราก็มีความสมัครสมานสามัคคีกัน ฆราวาสญาติโยมมีโอกาสเข้ามาก็มาเถอะ มาบ้านเรา มาฝึกหัด มาปฏิบัติ มาขัดเกลาตัวเราเอง มีอะไรเราก็ช่วยกันทำ พวกเราก็ได้รับความสงบความสุข มาที่นี่ก็ให้เหมือนกับมาบ้านของเรา ให้ทุกคนมีความรับผิดชอบด้วยกันหมด เรามาอาศัยโลกนี้อยู่ ถึงวาระถึงเวลาพวกเราก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พัลดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ทุกคนต้องพยายามทำความเข้าใจให้กระจ่างให้ได้เสียก่อน ไม่ได้มากก็ได้น้อย ให้เป็นเข้าพกเข้าห่อของพวกเรา ถึงมันไม่หมดจดก็จะไปต่อเอาภพหน้าเอาวันข้างหน้า ก็ต้องพยายามกัน
พระเราชีเราก็พยายาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด ความสวยความงาม ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ตั้งแต่หนทางเดินเข้ามาจนกระทั่งถึงก้นครัว ถึงห้องส้วมห้องน้ำ เราก็ต้องช่วยกันดูแล อย่าไปปล่อยปละละเลย แต่ละวันแต่ละคืน เราต้องพยายามช่วยกันดูแล ตรงไหนมันพร่อง ถ้ามันพร่องก็เหมือนกับใจของเราไม่เต็ม เราพยายามให้ใจของเราเต็ม ใจของเราอิ่ม ข้างนอกก็ให้บริบูรณ์ ถึงจะไม่มีมากก็ขอให้บริบูรณ์ให้ดูดี นั่นแหละความสวยความงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกคนก็ช่วยกันทำ ก็น่าอนุโมทนาสาธุ
ส่วนเรื่องการเจริญภาวนา การเจริญสติ การเจริญสมาธิ พวกเราอย่าไปทิ้ง ต้องให้รู้ตัวทุกอริยาบถ ยืนเดินนั่ นอน กินอยู่ขับถ่าย ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว เราก็ต้องละ ต้องดับ หนุนกำลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง ให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดอานิสงส์อันยิ่งใหญ่สำหรับตัวเรา ทรัพย์ภายในก็ไม่ทิ้ง ทรัพย์ภายนอกเราก็สร้าง
เรามีโอกาส โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ กาลเวลาเปิดให้ เรามีโอกาสเราก็ทำ อย่าว่าไม่ทำ ถึงกายของเราไม่ได้ทำ ก็น้อมใจของเราเข้ามาอนุโมทนาสาธุ เราก็จะได้รับอานิสงส์แห่งบุญนั้น อยู่ที่ไหนก็เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ
ถ้าใจของเรายังคิด ยังปรุงยังแต่งอยู่ เราก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ใจก็จะสงบระงับตั้งมั่นขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาจะสงบได้เลยทีเดียว เราต้องฝึก ต้องฝืน แล้วก็ทำความเข้าใจบ่อยๆ เจริญสติบ่อยๆ เข้าไปควบคุม เข้าไปดับ เข้าไปหยุด จนกว่ากำลังความรู้ตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะรู้เวลาจิตเขาเกิด เขาเริ่มเกิด เขาเริ่มก่อตัว เราก็จะดับขณะช่วงเขาก่อตัว หยุดขณะช่วงเขาก่อตัว เขาก็จะนิ่ง เขาเกิดอีก เราก็ดับอีก หยุดอีก กำลังส่งเขาก็จะน้อยลง
บางทีบางครั้งความคิดที่เราไม่ตั้งใจคิดก็ผุดโผล่ขึ้นมา ให้เรา ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็วางตรงที่ปลายจมูกของเรา น้อมก็ไปรู้ว่าอาการของความคิดเขาเริ่มเกิดอย่างไร เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร ตัววิญญาณ หรือว่าตัวจิตเขาจะเคลื่อนเข้าไปรวมเอง ขณะที่วิญญาณเคลื่อนเข้าไปรวมปุ๊บ ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ขณะนั้น รู้ตัวอยู่ปัจจุบันขณะนั้น ตัววิญญาณเขาจะดีดออกจากอาการของความคิดที่จะมาปรุงแต่ง
แล้วเขาก็จะหงายขึ้นมา เหมือนกับเราพลิกฝ่ามือ เหมือนกับฝ่ามือของเราคว่ำอยู่ ถ้าเราเห็นจิตจะเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด จิตก็จะพลิกก็จะหงาย จากหลังมือ จากฝ่ามือขึ้นมาเป็นข้างบน หลังมือก็อยู่ข้างล่าง และนี้เขาเรียกว่า ‘พลิกจากสมมติไปหาวิมุตติ’ แต่ส่วนมากนั้นจิตของคนทั่วไปยังคว่ำอยู่ ยังไปรวมกับความคิดอยู่ เพียงแค่รู้ทันตรงนั้นปุ๊บ จิตพลิกปั๊บ จิตก็จะว่าง โล่ง โปร่ง กายก็จะเบาเหมือนกับไม่มีกาย ที่นี้เราก็ตามดูเห็นการเกิด ตามดูรู้เห็นการเกิดการดับของอาการของความคิด จิตว่างรับรู้ ว่าเป็นเรื่องอะไรที่มาปรุงแต่งจิต ถ้าความรู้ตัวของเราไม่แหลมคม ไม่เร็วไว ยากที่จะเข้าใจตรงนี้ นี่แหล่ะเกิดอัตตาตรงนี้ เกิดความหลงตรงนี้ จิตของเราหลง มาก่อร่างสร้างภพ มาสร้างร่างกาย สร้างรูป สร้างนามขึ้นมา ส่วนนามธรรม ส่วนมากจะไม่ค่อยจะสังเกตให้ลึกซึ้ง รู้แต่ว่าร่างกายเป็นรูปธรรม
เราต้องพยายามหัดสังเกต เพราะว่าจิตแต่ละดวงหลงมาถึงได้มาเกิด วิญญาณหลงมา แล้วก็มาก่อร่างสร้างตัวเป็นภพมนุษย์มาปิดกั้นอำพรางตัวเอง แม้แต่ตัวเขาก็ยังวิ่ง ยังหลง ยังเกิดอยู่ บางทีก็อาจจะเกิดอยู่ในกองบุญกองกุศล ละอกุศล เจริญกุศล ในหลักธรรมท่านให้ทำความเข้าใจให้หมด ละอกุศล เจริญกุศล แต่ไม่ให้ยึด ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ
เราจะทิ้งสมมติไม่ได้ เพราะว่าร่างกายของเราเป็นก้อนสมมติ นอกจากจะหมดวาระของเขา เขาหมดสภาพ หมดอายุขัยเขาก็จะแตกดับ กลับคืนสู่สภาพเดิม ดินน้ำลมไฟ ในเวลานี้เราจะไปแก้ไขกันเฉพาะทางด้านรูปธรรม ทางด้านนามธรรมไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าไหร่ อาจจะสนใจกันแค่ครึ่งๆ กลางๆ ลุ่มๆ ดอนๆ เราต้องพยายามดำเนินให้ถึงต้นเหตุ ถอนรากถอนโคน แล้วก็ดับความเกิด คลายความหลงให้ได้ทุกเรื่อง ไม่เหลือวิสัย
ก็ต้องพยายามกันนะ พยายามทำความเพียรกัน เพียรที่นั่นบ้าง ทีนี่บ้าง ถ้าเราเข้าใจก็เพียรที่กายที่ใจของเรา ทำกายให้เป็นวัด ทำใจให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ น้อมนำคำสอนของพระพุทธองค์มาประพฤติปฏิบัติ ทำความเข้าใจหลักของพรหมวิหาร ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเสียสละมี ความจริงใจมี สัจจะกับตัวเรา มีสัจจะต่อคนอื่น มองโลกในทางที่ดี คิดดี สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินเข้าถึงจุดหมายปลายทาง เราจงฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีระเบียบ ความมีระเบียบ ความมีวินัย ทั้งภายนอก ทั้งภายในนั่นแหละ คือความเป็นคนมีระเบียบ
มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ถ้าเราไปปฏิบัติที่โน่นที่นี่ ถ้าเราไม่เข้าใจของความหมายของคำว่า ‘สติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน’ มันก็ปฏิบัติอยู่ในเพียงแค่รูปกาย ปฏิบัติอยู่ด้วยความหลง เราต้องพยายามเจริญสติให้ชัดเจน สร้างความรู้ตัวให้ชัดเจนแล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ใหม่ๆ ก็อาจจะพลั้งเผลอ บางทีก็อาจจะอึดอัด เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก บางทีเราก็เวลาจะทำความเข้าใจจริงๆ บางทีก็อึดอัด บางทีก็พลั้งเผลอ บางทีก็คันโน่นคันนี่ สารพัดอย่างที่กิเลสมารต่างๆ ก็จะมาฉุดมารั้งเอาไว้ กิเลสมารเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาก็หาโอกาส หาเวลามาปิดบังอำพราง เราเริ่มต้นเมื่อไหร่เขาก็เล่นงานเราเมื่อนั้นเราต้องพยายามฝึก พยายามฝืน ทั้งกายด้วย ทั้งใจด้วย กายด้วยใจด้วย แล้วก็แก้ไขภายนอกด้วย แก้ไขสมมติ โลกธรรมแปดเขาก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราก็ต้องทำความเข้าใจ
บางคนบางท่าน แม้ตั้งแต่ระดับของสมมติก็ยังอีรุงตุงนังอยู่ มันก็ยากที่จะลึกเข้าไปถึงหัวใจได้เราก็ต้องคอยแก้จากภายนอก สมมติที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว แล้วก็ลึกๆ ลงไป จัดระบบระเบียบของความคิด ของอารมณ์ จนเข้าถึงตัวใจ หรือว่าตัววิญญาณ ตัววิญญาณนี่ไม่มีอะไร มีแต่ความว่าง ในความว่างนั้นเขามีความรู้สึกรับรู้อยู่ ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยมนั่นแหละ แต่การศึกษาการค้นคว้าการทำความเข้าใจตรงนี้ ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร
กายวิเวกเป็นอย่างไร ใจวิเวกเป็นอย่างไร กำลังสติของเรารู้ได้ ได้ในระดับไหน เราต้องดู เพราะว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าเราไม่สนใจ ไม่สังเกต ไม่วิเคราะห์ เราก็รู้อยู่ในภาพรวม คิดก็รู้ทำก็รู้ เขาหลงอยู่ในกายก้อนนี้อยู่ เขาหลงอยู่ วิญญาณยังหลงอยู่ ถ้าเรามารู้ชัดเจน ตามดู ตามรู้ ตามเห็น หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา ทุกเรื่อง อย่าให้ใจของเราเกิดความทะเยอทะยานอยาก แล้วก็อย่าให้ใจของเราเกิดความอยาก เกิดความยินดียินร้าย หรือส่งออกไปภายนอก หรือผลักไส หรือดึงเข้ามา หรือผลักไส ถ้าเราเข้าใจแล้ว จะเสริมเพิ่มกำลังใจของเราให้หนักแน่นรับรู้ ตื่นตัวรับรู้ไม่ให้เกิด นั่นแหละคือพุทธะ คือผู้รู้ คือดวงวิญญาณของเรานี้เป็นธาตุรู้
เรามาเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจกับธาตุรู้ แต่เวลานี้ใจของเรายังหลง ยังเกิด เขาหลงมานาน เขาเกิดมานาน กว่าจะมาขัดมาเกลา แล้วก็หมั่นพร่ำสอนเขา แล้วก็รู้จักดับ รู้จักละ ให้เขารู้เห็นตามความเป็นจริง เขาถึงจะยอมปล่อยยอมวางได้
ถ้าเขารู้ความจริงแล้ว การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา ไม่ต้องไปน้อยอกน้อยใจว่าเราจะเสียเปรียบกิเลสคนโน้นคนนี้ จะเสียเปรียบคนโน้นคนนี้ คนนี้คนโน้นเขาพูดกับเราอย่างนั้น คนโน้นเขาก็ว่ากับเราอย่างนี้ สารพัดอย่างที่กิเลสมารต่างๆ จะมารบกวนเรา ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร สร้างอานิสงส์ สร้างบารมีอย่างเต็มที่เต็มเปี่ยม อยู่กับสมมติ อยู่กับโลก ไม่ให้โลกเข้าครอบงำ อยู่เหนือโลก ถึงกายจะไม่แตกไม่ดับ ก็ไม่ให้ใจของเราเข้าไปหลงเป็นทุกข์นั่นแหละ กายแตกดับนั่นแหละ เราก็จะได้มองเห็นหนทางเดินขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน เราพยายามทำปัจจุบันให้แจ้ง ปัจจุบันธรรม ทำทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ตราบใดที่สติของเรายังสังเกตวิเคราะห์ไม่เท่าทัน จะพลั้งเผลอเสียมากกว่า เพราะว่าความเคยชิน ความคิดเก่า ปัญญาเก่าเข้ามาปกปิดเอาไว้ ความคิดเก่า ปัญญาเก่าไม่ใช่ว่าไม่ดี
ดี แต่ดีอยู่ในระดับของโลกียะ เราต้องพยายามทำปัญญาใหม่ สร้างปัญญาใหม่ซึ่งปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา หรือว่าเกิดจากการเจริญสติ เข้าไปจำแนกแจกแจง ในกายก้อนนี้มีอะไรบ้าง เหมือนกับเชือกมีอยู่ห้าเกลียว เราต้องรู้ว่าเกลียวไหนเป็นเกลียวไหน กายของเราก็เหมือนกัน เราต้องรู้ว่ากายของเรามีอะไรบ้าง มีตัวมีวิญญาณเข้ามาครอบครอง ซึ่งมีทวารทั้งหกเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง มันก็ไม่เหลือวิสัย กิเลสหยาบกิเลสละเอียด กิเลสมากกิเลสน้อย เราก็พยายามขัดเกลากันไปนะ พยายามอย่าพากันปล่อยวันเวลาทิ้ง ภายนอกเราก็ทำให้ดี สมมติเราก็ยังสมมติของเราให้ดี ยิ่งมาอยู่ร่วมกันมากๆ ทั้งใกล้ทั้งไกลก็ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความรับผิดชอบ ผิดถูกชั่วดี รับผิดชอบตัวเรา รับผิดชอบตัวเราก็ล้นออกไปสู่หมู่สู่คณะสู่สังคม
พระเราชีเราก็มีความสมัครสมานสามัคคีกัน ฆราวาสญาติโยมมีโอกาสเข้ามาก็มาเถอะ มาบ้านเรา มาฝึกหัด มาปฏิบัติ มาขัดเกลาตัวเราเอง มีอะไรเราก็ช่วยกันทำ พวกเราก็ได้รับความสงบความสุข มาที่นี่ก็ให้เหมือนกับมาบ้านของเรา ให้ทุกคนมีความรับผิดชอบด้วยกันหมด เรามาอาศัยโลกนี้อยู่ ถึงวาระถึงเวลาพวกเราก็ต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็นก็ต้องได้พัลดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ทุกคนต้องพยายามทำความเข้าใจให้กระจ่างให้ได้เสียก่อน ไม่ได้มากก็ได้น้อย ให้เป็นเข้าพกเข้าห่อของพวกเรา ถึงมันไม่หมดจดก็จะไปต่อเอาภพหน้าเอาวันข้างหน้า ก็ต้องพยายามกัน
พระเราชีเราก็พยายาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด ความสวยความงาม ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ตั้งแต่หนทางเดินเข้ามาจนกระทั่งถึงก้นครัว ถึงห้องส้วมห้องน้ำ เราก็ต้องช่วยกันดูแล อย่าไปปล่อยปละละเลย แต่ละวันแต่ละคืน เราต้องพยายามช่วยกันดูแล ตรงไหนมันพร่อง ถ้ามันพร่องก็เหมือนกับใจของเราไม่เต็ม เราพยายามให้ใจของเราเต็ม ใจของเราอิ่ม ข้างนอกก็ให้บริบูรณ์ ถึงจะไม่มีมากก็ขอให้บริบูรณ์ให้ดูดี นั่นแหละความสวยความงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกคนก็ช่วยกันทำ ก็น่าอนุโมทนาสาธุ
ส่วนเรื่องการเจริญภาวนา การเจริญสติ การเจริญสมาธิ พวกเราอย่าไปทิ้ง ต้องให้รู้ตัวทุกอริยาบถ ยืนเดินนั่ นอน กินอยู่ขับถ่าย ใจของเราเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว เราก็ต้องละ ต้องดับ หนุนกำลังสติปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง ให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดอานิสงส์อันยิ่งใหญ่สำหรับตัวเรา ทรัพย์ภายในก็ไม่ทิ้ง ทรัพย์ภายนอกเราก็สร้าง
เรามีโอกาส โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ กาลเวลาเปิดให้ เรามีโอกาสเราก็ทำ อย่าว่าไม่ทำ ถึงกายของเราไม่ได้ทำ ก็น้อมใจของเราเข้ามาอนุโมทนาสาธุ เราก็จะได้รับอานิสงส์แห่งบุญนั้น อยู่ที่ไหนก็เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะวันนี้ก็เจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กันพากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันนะ